โปรดเถิดรัก

ถ้าเป็นอย่างนั้น ขอได้ไหม ...




รู้ดีว่ามันก็จบไปนานแล้ว
แต่ใจยังคงคิดถึง ใจยังคงต้องการ
รู้ดีว่ามันต้องใช้เวลา
แต่ใจยังคำนึงถึงใจยังคงต้องการ


นานเท่าไร แต่ดูเหมือนว่ามันยังไกล
และดูเหมือนเวลาไม่เคยทำมันให้จาง

บอกหน่อยเถิดรัก บอกว่าเป็นเช่นไร
ฉันไม่เคยรู้ว่าทำไม ฉันไม่เคยเข้าใจอะไร
ทำไมเมื่อมีรัก ฉันจึงต้องช้ำใจ
หากเป็นอย่างนั้นขอได้ไหม ให้ฉันไม่รักใครอีกเลย


ครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยออกตามหา แต่ว่ามันก็ต้องผิดหวัง
เมื่อปลายทางของฉันนั้นว่างเปล่า
รู้ดีว่าเธอคงไม่ย้อนมา แต่ฉันยอมทุกอย่าง
ยอมทำทุกทางให้เธอย้อนคืนมา

นานเท่าไร แต่ดูเหมือนว่ามันยังไกล
และดูเหมือนเวลาไม่เคยทำมันให้จาง

บอกหน่อยเถิดรัก บอกว่าเป็นเช่นไร
ฉันไม่เคยรู้ว่าทำไม ฉันไม่เคยเข้าใจอะไร
ทำไมเมื่อมีรัก ฉันจึงต้องช้ำใจ
หากเป็นอย่างนั้นขอได้ไหม บอกมาว่ารักคืออะไร
บอกมาได้ไหมเป็นยังไง บอกมาได้ไหม...

นานเท่าไร นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่ามันยังไกล
และดูเหมือนเวลาไม่เคยทำมันให้จาง

บอกหน่อยเถิดรัก บอกว่าเป็นเช่นไร
ฉันไม่เคยรู้ว่าทำไม ฉันไม่เคยเข้าใจอะไร
ทำไมเมื่อมีรัก ฉันจึงต้องช้ำใจ
หากเป็นอย่างนั้นขอได้ไหม ให้ฉันไม่รักใคร

(ฉันเองที่ยังไม่เข้าใจ ฉันเองที่ยังตามหา
เป็นฉันเองที่เสียน้ำตา)

บอกหน่อยเถิดรัก บอกว่าเป็นเช่นไร
ฉันไม่เคยรู้ว่าทำไม ฉันไม่เคยเข้าใจอะไร
ทำไมเมื่อมีรัก ฉันจึงต้องช้ำใจ
หากเป็นอย่างนั้นขอได้ไหม ให้ฉันไม่รัก
ฉันยอมทุกอย่างแค่ฉันไม่ต้องรักใคร

เธอ




อยู่ไกลจนสุดสายตา ไม่อาจเห็นว่าเราใกล้กัน
และทุกครั้งหัวใจฉันยังคงไหวหวั่นกับความท­รงจำ

นึกถึงครั้งแรกเราพบกัน เธอและฉันไม่เคยต้องไกล
ในวันนี้ฉันต้องเผชิญความไหวสั่นอยู่ภายใน­ใจ
กลัวการที่เราไกลกัน กลัวว่าใจจะเปลี่ยนฝันไป

ฝนพรำเปรียบเหมือนครั้งฉันพบเธอ แววตาของเธอยังคงติดตรึงในใจไม่ลืม
รักเรายังไม่เก่าลงใช่ไหม หรือกาลเวลาหมุนไ­ป เปลี่ยนใจเธอเป็นอีกดวง

เธอ เธอยังคิดถึงฉันไหม เมื่อสองเรานั้นยังคงห่างไกล
เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน รู้บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา

หยาดน้ำค้างในยามเช้า กับลมหนาวจับใจ
สายลมโชยอ่อน พัดพาความรักฉันไป ส่งถึงใจเธอที

เธอ เธอยังคิดถึงฉันไหม เมื่อสองเรานั้นยังคงห่างไกล
เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน รู้บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา

กาลเวลาอาจทำให้ใจคนเราเปลี่ยนผันในวันต้อ­งไกล
แต่ฉันยังคงมีแต่เธออยู่ในหัวใจเสมอ

อยู่ไกลจนสุดสายตา ไม่อาจเห็นว่าเราใกล้กัน
และทุกครั้งหัวใจฉันยังคงไหวหวั่นกับความท­รงจำ

นึกถึงครั้งแรกเราพบกัน เธอและฉันไม่เคยต้องไกล
ในวันนี้ฉันต้องเผชิญความไหวสั่นอยู่ภายใน­ใจ
กลัวการที่เราไกลกัน กลัวว่าใจจะเปลี่ยนฝันไป

ฝนพรำเปรียบเหมือนครั้งฉันพบเธอ แววตาของเธอยังคงติดตรึงในใจไม่ลืม
รักเรายังไม่เก่าลงใช่ไหม หรือกาลเวลาหมุนไ­ป เปลี่ยนใจเธอเป็นอีกดวง

เธอ เธอยังคิดถึงฉันไหม เมื่อสองเรานั้นยังคงห่างไกล
เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน รู้บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา

เธอ เธอยังคิดถึงฉันไหม เมื่อสองเรานั้นยังคงห่างไกล
เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน รู้บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา


การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก

เคยอ่านฉบับภาษาอังกฤษเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ภาษายังไม่แข็งแรง และอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เมื่อเร็วๆนี้ได้กลับเชียงใหม่ ได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนสมัยมัธยมต้นคนหนึ่งหลังจากไม่เจอกันมากว่า 5 ปี เพื่อนคนนี้เอาหนังสือเล่มหนึ่งให้ยืม ชื่อเรื่องน่าสนใจว่า 'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก' เป็นหนังสือแปลโดยคุณโตมร สุขปรีชา เมื่อเอามาดูดีๆจึงพบว่ามันคือ South of the Border, West of the Sun อันเลื่องลือของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่เราเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว แน่นอนว่าเมื่อเป็นผลงานของมูราคามิ โทนที่ออกมาจึงหม่นและดาร์กมากมาย

'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก' เล่าเรื่องราวชีวิตของฮาจิเมะ การพบพานเพื่อจากจรของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวแต่ละตนที่เข้ามา ฮาจิเมะนั้นฝังใจอยู่กับรักแรก ชิมาโมโตะ เมื่ออายุได้ 12 ปี แต่ชีวิตมันคือความเป็นไป แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องพรากจากกันไปตามกระแสของเวลา ฮาจิเมะไปคบกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งในวัยมัธยมปลาย เธอชื่ออิซูมิ สำหรับเรา นี่เป็นความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดที่สุด



'เธอจะไม่ทำร้ายฉันใช่ไหม'
'ผมจะไม่ทำร้ายเธอ'
...
แต่ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจ ว่าผมสามารถทำร้ายใครคนหนึ่งได้เลวร้าย กระทั่งเธอไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีกเลย และยังไม่เข้าใจว่า ใครคนหนึ่ง แค่เพียงมีชีวิตอยู่ ก็สามารถทำลายมนุษย์อีกคนได้ยับเยินจนไม่อาจซ่อมแซม (หน้า30)




เราไม่อาจรู้ได้จริงๆว่าเราจะสามารถทำร้ายคนๆหนึ่งได้รุนแรงขนาดไหน และในฐานะคนที่ถูกทำลายจนย่อยยับ ก็ไม่อาจบอกได้เช่นกันว่าชีวิตจะฟื้นคืนกลับมาเป็นเช่นเดิมได้หรือไม่ แน่นอนว่าความสัมพันธ์ไม่อาจฆ่าคนๆหนึ่งได้ในทางกาย แต่หากเป็นทางใจเล่า ส่วนหนึ่งอาจจะตายลงไปอย่างสมบูรณ์ภายใต้น้ำมือของคนอีกคนที่เรารักเท่าชีวิต 

เวลาผ่านไป ฮาจิเมะแต่งงานและประสบความสำเร็จทั้งด้านชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวกับยูกิโกะ ทว่าคืนหนึ่งในฤดูฝน ชิมาโมโตะ หญิงสาวที่ฮาจิเมะคิดว่าคงไม่อาจได้ครอบครองและจากกันไปชั่วชีวิตได้กลับมาอีกครั้ง อย่างที่น่าจะคาดเดากันได้ ทั้งคู่ได้มีความสัมพันธ์กัน

'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก' ทรงพลังในแง่ของการเล่าเรื่องด้วยปริศนาที่ไม่มีข้อเฉลย เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของฮาจิเมะในแต่ละช่วงวัยที่ผันผ่าน ทว่าสำหรับชิมาโมโตะและอิซูมิแล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวทั้งสอง และอะไรทำให้เธอทั้งคู่กลายเป็นคนในปัจจุบัน เวลามากกว่า 10 ปีที่หายไปในชีวิตของหญิงสาวทั้งสองจะยังคงเป็นปริศนาต่อไป หรือแท้จริงแล้วทั้งคู่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ทว่าเป็นเพียงจินตนาการที่ก่อร่างในหัวของฮาจิเมะเท่านั้น

หญิงสาวของฮาจิเมะมักจะมากับฝน ทั้งชิมาโมโตะและยูกิโกะ 'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก' ก็มาถึงมือเราพร้อมกับฝนเช่นกัน เพื่อนมัธยมต้นของเราคนนั้นยื่นหนังสือให้เราพร้อมกับห่าฝนที่สาดลงมาเป็นสายในร้านอาหารญี่ปุ่นกลางเมืองเชียงใหม่ คืนเดียวกันนั้นเอง เราเริ่มอ่าน'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก' ตั้งแต่ราวเที่ยงคืนไปจบเอาตอนตีสี่ครึ่ง และนอนไม่หลับไปจนรุ่งสาง

ยอมรับว่าชีวิตช่วงหลังราว1-2ปีที่ผ่านมาอ่านนิยายจนจบเล่มน้อยมาก เล่มไหนอ่านเกินครึ่งเล่มแล้วหยุดนี่ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ความรู้สึกของการยิงยาวม้วนเดียวจบแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานจริงๆ ความรู้สึกที่ว่าใจหนึ่งอยากจะเก็บไว้อ่านต่อสักเดือน ค่อยๆละเลียด ละเมียดละไมไปด้วยกัน ไม่อยากให้จบ อยากให้จบช้าที่สุด กับอีกใจที่ร้องว่าเร็วๆ เร่งอ่านให้มันเสร็จๆไปจะได้จบสักที 2อารมณ์นี้มันปะทะกันตอนอ่าน 'การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก'

ผลที่ได้คือม้วนเดียวจบ ขมขื่น ปร่า กลืนน้ำลายยังฝืดคอ รู้สึกป่วย เป็นไข้ อยากร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหล อึดอัดขัดข้อง มีคำถาม ต้องการคำตอบ คับแค้นใจ หาทางออกไม่เจอ สับสน เหมือนเดินหลงทางในคืนฝนตก (เมื่อคืนที่อ่านฝนก็ตกจริงๆ) 

สำหรับเรา มูราคามิอาจจะเหมือนประเทศอินเดีย เห็นเค้าว่ากันว่าไม่รักก็เกลียด แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเค้ามีพรสวรรค์ ที่จริงใครๆก็เขียนนิยายได้ แต่งเรื่องสั้น รังสรรค์บทความ แต่จะมีสักกี่คนที่เขียนออกมาแล้วมีพลังจนทำให้คนเสพหายใจไม่ออก จนทำให้เรานอนตาค้างข้ามคืนต้นฤดูฝนในเดือนมิถุนายน 






ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้ แนน สาธิดา

ชอบเสียงนักร้องคนนี้มากกก เสียงหวานมาก เพราะมาก ฟังแล้วซึ้งมากกกก
ที่สำคัญ ประกอบละครเรื่องที่ชอบ เลือดมังกร ตอนเสือ อิอิ




สุขใดจะเสมอ เท่าฉันมีเธอ เป็นคู่ดวงใจ
เคลียคลอ อยู่ทุกวันไป เหมือนทิวาคู่ราตรี
ดั่งแผ่นน้ำ คู่ฟ้า ไปตลอดปี
รักมั่นภักดี เหมือนปลารักท้องนทีธาร

หากชีวิตของฉัน ถ้าแม้นขาดเธอ คงหมดจิตใจ
คงครวญพร่ำหวนอาลัย เหมือนคนที่ไร้วิญญาณ
เธอได้ฟัง ฟังฉันรำพันกล่าวขาน
จงได้สงสาร เห็นใจในรักที่ภักดี

สุขใดจะเสมอเท่า ฉันมีเธอเป็น คู่ดวงใจ
เคลียคลอ อยู่ทุกวันไป เหมือนทิวาคู่ราตรี
ดั่ง แผ่นน้ำ คู่ฟ้า ไปตลอดปี
รักเธอ เท่าชีวี ดั่งปลารักน้ำ นิรันดร   

ยิ่งรัก ยิ่งห่าง



เหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่เจอ
ทำให้เธอและฉันดูเหมือนยิ่งรักยิ่งห่าง
เหตุใดความรักที่พร้อมทุกอย่าง
บางสิ่งกลับดูขาดหาย สุดท้ายก็หาไม่เจอ

เป็นเพราะเราต่างกัน
บนสวรรค์บันดาลให้ฉันและเธอต้องจาก
อยากให้เธอรู้เอาไว้อย่าง

ฉันจะมีแต่เธอในใจเสมอ
ความทรงจำดีดีจะคงเหมือนเดิม
อย่างน้อยได้รู้ว่ารักเธอมากแค่ไหน
ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจที่ได้รักเธอ

คำว่ารักเพียงพอหรือเปล่า
หรือต้องมากกว่านี้หรือฉันมีไม่พอ
เป็นเพราะเราต่างกัน
บนสวรรค์บันดาลให้ฉันและเธอต้องจาก
อยากให้เธอรู้เอาไว้อย่าง

ฉันจะมีแต่เธอในใจเสมอ
ความทรงจำดีดีจะคงเหมือนเดิม
อย่างน้อยได้รู้ว่ารักเธอมากแค่ไหน
ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจที่ได้รักเธอ

ฉันจะมีแต่เธอในใจเสมอ
ความทรงจำดีดีจะคงเหมือนเดิม
อย่างน้อยได้รู้ว่ารักเธอมากแค่ไหน
ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจ
ที่ฉันจะมีแต่เธอในใจเสมอ
ความทรงจำดีดีจะคงเหมือนเดิม
อย่างน้อยได้รู้ว่ารักเธอมากแค่ไหน
ฉันไม่เคยเลยไม่เคยเสียใจที่ได้รักเธอ

Hotto Bun หลัง มช

โพสนี้มาเขียนรีวิวร้านของกินย้อนหลัง จริงๆกลับเชียงใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แต่พอกลับมาก็ยุ่งมากจนไม่ได้มาเขียนสักที
กลับบ้านครั้งนี้ไปลองร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดมาค่ะ ชื่อร้านฮอตโตะบัน ตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางเข้าคือซอยร้านกาแฟโสด เข้าไปประมาณ 500 เมตร ร้านอยู่ทางขวามือค่ะ หาไม่ยากเลย เป็นร้านเล็กๆไม่น่าจะถึง 10 โต๊ะ เน้นกินแล้วไป ไม่แนะนำให้นั่งแช่นะคะ เพราะร้านเล็กและมีคนเข้าตลอดจริงๆ ข้อเสียคือเรื่องที่จอดรถค่ะ ถ้าเอารถยนต์ไปนี่ค่อนข้างหาที่จอดลำบากเลย เพราะทางร้านมีแต่ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ หากจะจอดก็น่าจะต้องได้จอดไกลแล้วเดินเอา ซึ่งในสภาพอากาศแบบนี้มันเป็นอะไรที่ทรมานมากจริงๆ 
ส่วนเมนูของร้านนี่ก็เล็กตามขนาดร้านค่ะ เป็นเมนูหน้าเดียว มีเบอร์เกอร์หมู ไก่ แล้วก็ปลา สามารถสั่งแยกเป็นชิ้นเดี่ยวๆได้ หรือถ้าสั่งเป็นเซตจะมีเฟรนช์ฟรายส์และชาเย็นๆชื่นใจมาให้ด้วย จุดเด่นของเค้าอยู่ที่ขนมปังค่ะ ขนมปังนุ่มอร่อย แถมเลือกได้ด้วยนะคะว่าจะเอาขนมปังขาวธรรมดาหรือขนมปังโฮลวีต ถ้าเลือกโฮลวีตก็เพิ่มอีก 10 บาทค่ะ สนนราคาแบบเป็นเซตอยู่ที่ราวๆ 150 กว่าบาท วันที่เราไปเราจัดบันปลาแบบเป็นเซตมา 1 เซต บอกเลยค่ะว่าไม่อิ่ม กินแบบพอกรุบกริบ หลังจากนั้นเราเลยไปต่อบะหมี่หมูแดง 5555
ถ้าใครไปเชียงใหม่ลองไปชิมกันดูนะคะ โดยรวมถือว่ารสชาติโอเคเลยค่ะ :)








ผิดสัญญา

เป็นเพลงที่เจ็บปวดมากเลย





แล้วก็ต้องเลิกกัน 
จบที่เคยฝันไว้
เมื่อความจริงฉันมีแค่เพียงหัวใจ
หลอกตัวเองว่าคงดีพอ 
ให้เธอฝากชีวิตไว้
แต่ที่สุดแล้วมันช่างดูเลือนราง

ฝันไปได้ยืดยาว แต่ไม่เคยถึงไหน
บอกตรงตรง ขอโทษจริงจริง เสียใจ
กับถ้อยคำสัญญาดีดี จะดูแลเธอจนตาย
ยิ่งตอกยิ่งย้ำ ให้ฉันควรไปจากเธอ

แค่คำว่ารักที่พูดอยู่ได้มันคงไม่พอ
และฉันก็ไม่อาจรอ ให้เราเดินไปถึงวัน
ที่เกินจะเปลี่ยน จนช้ำไปมากกว่านี้
ที่ฉันมีให้เธอได้แค่คำว่าลา 
อย่าทิ้งชีวิตเอาไว้บนทางที่ฝืนเต็มที 
ทำให้ไม่ได้ ขอโทษที่ผิดสัญญา

รักได้แค่ลมปาก อย่างลมลมแล้งแล้ง
ดีแต่ทำให้เธอต้องเสียเวลา 
มีแต่ใจเพ้อไปวันวัน จะดีอะไรนักหนา
หากยิ่งอยู่รักเธอ ยิ่งเห็นแก่ตัว

โปรดอภัยให้คนที่ผิด สัญญา

Civil War (Spoiled)

ไปดูมาแล้ววววว Civil War ก่อนเข้าไปดูเป็นทีมโทนี่ พอดูจบเป็นทีมกัปตัน 5555




ก่อนดูลืมนึกไปว่านี่มันหนังเรื่องกัปตันอเมริกา ชื่อตอนซีวิลวอร์ ดังนั้นดูๆไปจึงไม่แปลกใจที่จะเป็นพวกกัปตัน 5555
แต่ที่ต้องพูดถึงเลยก็คือตัวเนื้อเรื่องวางไวแบบให้ป๋าโทนี่เทียบเท่ากัปตันเลยนะ จะเห็นได้ว่าช่วงต้นเรื่องโทนี่สร้างภาพโฮโลแกรมชีวิตของตัวเองในวัยหนุ่ม คืนก่อนหน้าที่พ่อแม่ของเขาจะประสบอุบัติเหตุตาย (โทนี่เข้าใจเช่นนั้น) แล้วปมขมวดเกลียวของเรื่องนี้ก็คือพ่อแม่ของโทนี่ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุตายจ้า แต่โดนบัคกี้หรือ winter soldier ฆ่าตายเพราะถูกองค์กรไฮดร้าล้างสมองและทำไปโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี่น่าเจ็บปวดที่สุดก็คือกัปตันรู้เรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ยอมบอกโทนี่ สำหรับเราแล้วคิดว่าโทนี่คงรู้สึกเหมือนโดนหักหลังอ่ะ เพราะสำหรับเค้าแล้วกัปตันคือเพื่อน วาทกรรมทำเอาเจ็บมันจี๊ดสุดตรงที่กัปตันพูดว่า
"เขา (บัคกี้) เป็นเพื่อนผม"
แล้วโทนี่ก็พูดว่า
"ผมก็ 'เคย' เป็นเพื่อนคุณ" 
เอาซี้ !!!

เราว่าตัวหนังค่อนข้างให้ความสำคัญกับปมในใจของโทนี่ ความเจ็บปวดเรื่องชีวิตครอบครัว ความล้มเหลวในชีวิตคู่ ความรู้สึกผิดที่เวลากู้โลกแต่ละครั้งก็ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตาย ตัวหนัง Iron Man เองในทุกภาคก็เล่นกับปมนี้เหมือนกัน
แต่ในส่วนนี้ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกัปตันนะคะ เค้ามีชุดความคิดอีกแบบหนึ่ง และเราเองก็คิดว่าตัวกัปตันก็เจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแพ้กัน อย่าลืมว่ากัปตันคือเด็กขี้โรคผอมกะหร่องจากเมืองบรู้คลิน ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็เพื่อหวังว่าตัวเองจะมีความสามารถมากพอในการช่วยเหลือส่วนรวมได้ ในแง่ของปณิธานแล้วต้องยอมรับว่ามันแรงกล้าจริงๆ สตีฟมีจิตใจของคนยุคเก่าเพราะเค้ามาจากโลกอดีต สายใยที่เชื่อมเค้าเอาไว้มีเพียงเพ็กกี้ที่พอเค้าออกจากช่องแช่แข็งมานางก็ชิ่งตายสะงั้น อีกคนเดียวที่เหลืออยู่ก็คือบัคกี้ เพื่อนแท้วัยเด็กจากบ้านเกิดที่มุ่งมั่นมาเป็นทหารด้วยกัน อาจพูดได้ว่าเพ็กกี้และบัคกี้เป็นสายใยที่เชื่อมสตีฟเอาไว้กับโลกอดีตที่เค้าจากมา ลองคิดดูเล่นๆนะคะ ถูกแช่แข็งเอาไว้หลายสิบปี พอตื่นขึ้นมาความรู้สึกยังเหมือนว่าอดีตเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน แต่สภาพแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไป คนที่รู้จักตายไปกันหมด เหลืออยู่แค่ 2 คน แค่คิดก็เศร้าแล้วค่ะ

ส่วนบัคกี้ถ้าไม่พูดถึงคงไม่ได้ คนนี้เราชอบตั้งแต่ปรากฏตัวในหนังเมื่อแรกๆ คือเป็นความชอบที่มีความสงสารเป็นส่วนใหญ่ เรามองว่าบัคกี้เป็นเหยื่อเพราะถูกล้างสมองและใช้เป็นเครื่องมือ แถมความทรงจำก็ขาดๆหายๆอีก เจ้าตัวได้ปลีกตัวหนีไปอยู่อย่างสงบเพราะไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมือฆ่าใครอีกหลังจากที่จำสตีฟได้ แต่ก็ยังไม่วายถูกวางแผนใส่ร้ายจนต้องกลับมาสู้อีก คิดดูเถอะค่ะว่าน่าเห็นใจขนาดไหน




อีกตัวละครที่ขอพูดถึงคือตัวร้ายของเราค่ะ ซีโม่ เราว่านายคนนี้ฉลาดและสอนบทเรียนสำคัญให้ทีมอเวนเจอร์ส์ ที่ว่าฉลาดเพราะนางวางแผนเอง เล่นเอง ทุกอย่างทำคนเดียวเลยจ้า one man show แบบไม่มีผู้ช่วยใดๆทั้งสิ้น แรงจูงใจคือต้องสูญเสียครอบครัวไปจากเหตุการณ์โซโคเวีย คิดดูว่าคนๆเดียวสามารถทำให้ทีมอเวนเจอร์ส์แตกคอกันได้ วาทกรรมที่ควรจำไว้เป็นบทเรียนจากซีโม่ก็คือประมาณว่า จักรวรรดิที่แข็งแกร่ง ต่อให้ล่มสลายเพราะศัตรูก็ยังสามารถกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ แต่หากจักวรรดินั้นล่มสลายจากภายใน (เปรียบเทียบกับทีมอเวนเจอร์ส์ที่แตกคอกันเอง) นั่นคือการล่มสลายที่แท้จริง




อีกคนที่ขอพูดถึงสั้นๆคือ สก็อต แลง พ่อหนุ่ม Ant Man ของเรานั้นเอง คือด้วยความที่เจ้าตัวเป็นพวกนอกกฎหมายอยู่แล้วและเป็นแฟนคลับกัปตัน นางเลยจอยทีมกัปตันแบบไม่ลังเลเลยจ้าาาา แถมยังมาเป็นตัวสร้างความฮาอีก 5555

ส่วน 2 ตัวละครที่มาโผล่ในโปรเจ็คอเวนเจอร์ส์เป็นครั้งแรกก็คือแบล็กแพนเตอร์ หรือ ราชาทิชัลล่าแห่งประเทศวากันด้า อีกคนที่คุ้ยเคยกันดีคือหนุ่มน้อยสไปดี้ของเรานั่นเอง

มาพูดถึงแบล็คแพนเตอร์กันก่อน คนนี้ก็สวยงามตามท้องเรื่อง มีความเป็นผู้นำ มีความเป็นราชา มีความเป็นพระเอก วาทกรรมแมนๆของ Your Highness ของสาวๆก็คือทุกคนถูกความแค้นกัดกร่อนหัวใจ ข้าจะไม่ยอมเป็นแบบนั้น ประมาณนี้ เรื่องของเรื่องก็คือพระองค์ตามฆ่าบัคคี้เพราะเข้าใจผิดว่าบัคกี้เป็นมือระเบิดที่วางระเบิดการประชุมยูเอ็นเพื่อเซ็นข้อตกลงโซโคเวียจนทำให้พระบิดาต้องตายนั่นเอง อ้อ อีกอย่างนึงที่ควรรู้ไว้คือคนนี้รวยที่สุดในจักรวาลมาร์เวลนะจ๊ะ รวยกว่าป๋าโทนี่อ่ะคิดดู อิอิ





ตัวละครลับตัวสุดท้ายของเราคือพ่อหนุ่มเอ๊าะใส ทอม ฮอลแลนด์ ที่มารับบทสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นหนุ่มน้อยสมัย 16 - 17 คือเราว่าโอเคเลยนะ มีความเป็นเด็ก มีความช่างจ้อ มีความตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่ง ตลกสุดตอนที่นางพูดว่า "ผมกำลังพยายามทำให้คุณโทนี่ประทับใจอยู่" 5555
ดูแล้วชวนให้รอภาคแยกของสไปเดอร์แมนที่มาร์เวลกำลังสร้างเลย ชื่อตอน Homecoming ยินดีต้อนรับกลับบ้านมาร์เวลหลังจากที่ถูกซื้อลิขสิทธิไปอยู่กับค่ายโซนี่ซะนาน อิอิ



อ้อ เกือบลืม เวอร์ชั่นนี้ป้าเมย์ของปีเตอร์แซ่บมากขอบอกกกก 





อัมพวาหน้ามรสุม

เครดิตตามภาพนะคะ ไม่ได้ถ่ายเองค่ะ ไม่มีฝีมือ 5555




เมื่อวันเสาร์สิ้นเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปอัมพวามาอีกแล้วค่ะ
ภารกิจเที่ยวครั้งนี้ขอบอกว่าเป็นอะไรที่เร่งด่วนและเฉพาะกิจมาก เนื่องมาจากเมื่อคืนวันศุกร์ก่อนหน้าได้มีโอกาสนัดเจอเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยหลังจากไม่เจอกันมาร่วมปี ตอนแรกนัดกันว่าจะไปหาของอร่อยๆกินกันแถววังหลัง แต่กว่าจะเลิกงานวังหลังก็น่าจะปิดไปกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว แผนของเราเลยเปลี่ยนไปเป็นที่ท่ามหาราชแทน
เราสามสาวขึ้นเรือข้ามฟากที่เอเชียทีค สนนราคาอยู่ที่ 19 บาทตลอดสายไปสุดแถวท่าน้ำนนท์ แต่เราลงกันที่ท่ามหาราช นี่เป็นครั้งแรกของเราที่ได้มาท่ามหาราชจากที่เคยเห็นรูปจากเพื่อนๆที่ไปถ่ายกันหลายคน ในรูปดูเหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเหล่าฮิปสเตอร์ไปหามุมถ่ายรูปฮิปๆชิคๆ แต่ความรู้สึกของเราที่ไปเห็นว่าเฉยๆมากค่ะ ส่วนชั้นบนที่ติดแม่น้ำจะเป็นโซนให้นั่งเล่นชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา อาจจะเพราะเราไปผิดเวลาก็ได้นะคะเลยรู้สึกเฉยๆ คือตอนเราไปถึงนี่ดึกแบบมืดแล้ว ถ้าได้ไปตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตกอาจจะรู้สึกอีกแบบก็ได้
ในบรรดาร้านต่างๆที่ท่ามหาราชจะเป็นร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงจะบอกว่าใหญ่ก็มีไม่กี่ร้านอยู่ดีในความรู้สึกเรา ร้านที่ว่ามีทั้งที่เป็นแบรนด์ใหญ่อย่างสตาร์บั๊คไปจนถึงร้านเล็กๆที่ไม่มีสาขา
เราสามคนไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆตรงทางเข้าโซนพระเครื่อง สนนราคาไม่แพงมาก ราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ 89 บาทต่อชุด รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ หลังจากรับของตาวเสร็จเราก็ไปจัดของหวานกันต่อ ตามสโลแกนประจำกลุ่มเราที่ว่า "กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่" :p
ร้านของหวานที่เราไปก็เป็นร้านที่คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักกันดีค่ะ After You นั่นเอง เราสั่งกันมา 2 อย่างคือบิงซูกับฮันนี่โทสต์ ในส่วนของฮันนี่โทสต์ไม่ขอพูดถึงมากเพราะของร้านนี้เค้าดังอยู่แล้ว แต่เมนูยอดฮิตมาใหม่อย่างบิงซูนี่ขอเม้าท์หน่อย คือมันอร่อยจริงนะคะ แต่ราคาแรงมากเมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้ 285 บาทต่อถ้วยญี่ปุ่นเล็กๆ สำหรับเราคือรู้สึกว่ามันแพงเกินไปถึงรสชาติจะละมุนลิ้นเข้าท่าก็เถอะ แต่ (แต่อีกละ) ถ้าเทียบกับบิงซูร้าน Wake Up ที่เชียงใหม่ที่เคยพูดถึง เราว่า Wake Up อร่อยกว่านะ ถูกกว่าเป็นร้อยด้วย
เพราะนัดทานข้าวคืนวันศุกร์นี่แหละค่ะที่นำมาซึ่งทริปวันเสาร์ที่อัมพวา เรา 3 คนนัดเจอกันช่วงเที่ยงเพื่อออกเดินทาง one day trip ครั้งนี้ วางแผนไว้ดิบดีมากว่าจะพาเพื่อนไปไหว้พระที่วัดบางกุ้ง ต่อด้วยชมอุทยานร.2 ปิดท้ายแบบประทับใจด้วยการเดินเล่นหาของกินที่ตลาดอัมพวาพร้อมล่องเรือชมหิ่งห้อย
แต่ทีนี้เจ้าค่ะ ท้องฟ้าอากาศมืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าชนิดที่ว่าไม่เห็นแสงอาทิตย์ลอดลงมา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เป็นเดือนคือร้อนมาก ร้อนนรกแตก ไม่เคยฟ้าครึ้มสักวันแต่ดันมาครึ้มเอาวันนี้ เป็นอันรู้กันค่ะว่าพายุฤดูร้อนมาแล้ว และจำเพาะเจาะจงว่าต้องมาวันนี้ด้วย -_-
ย้อนไปครั้งสุดท้ายที่ได้เที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้คือไปแถวน้ำตกที่แม่ริม เชียงใหม่ วันนั้นก็ฝนตกเหมือนกัน หนักด้วย มาครั้งนี้เลยคิดในใจว่าจะเที่ยวด้วยกันทีไรต้องเจอฝนตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ยยยย
เราขับไปทางเส้นพระราม 2 อาศัยตาม google maps ไป ขอบอกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เปิดกูเกิ้ลเพราะพี่สาวเราก็ไปอัมพวาเหมือนกัน (แยกกันไป) ซึ่งนางไม่ได้ตั้งกูเกิ้ลไป นางขับไปเองโดยใช้ทางหลัก ใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงอัมพวาจย้าาาา ส่วนเราเหรอคะ กูเกิ้ลบอกให้เลี้ยวก็เลี้ยว บอกให้ไปตรงก็ไปตรง ผลคือไม่ต้องเผชิญรถติดมากมายและใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง อิอิ
ขับไปได้สักแถวพอร์ตโตชิโน ฟ้าก็อุ้มเมฆไม่อยู่แล้วค่ะ ฝนเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว อารมณ์ตอนนั้นคือกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง 5555
ฝนตกหนักไปตลอดทางจนเราถึงวัดบางกุ้งตามแผนว่าจะเป็นจุดหมายแรกที่ไป อยากไปไหว้พระก่อนเป็นการเปิดทริปนั่นเอง แต่ช้าก่อน นอกจากฝนตกจะทำให้รถติดจนใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติแล้ว พอไปถึงที่หมายฝนยังไม่เลิกตกค่าาา เราสามคนต้องนั่งรอในรถให้ฝนซาอีกพักใหญ่เพราะลงไปไม่ได้จริงๆ เปียกแน่
กว่าจะไหว้ะระเรียบร้อยครบถ้วนกระบวนความก็ปาเข้าไปสี่โมงครึ่ง เรารีบไปต่อกันที่อุทยานร.2 ถึงประมาณ 5 โมงเย็น ไม่น่าเชื่อนะคะ เจอการจราจรหนาแน่นที่อัมพวา ไปมาหลายครั้งเพิ่งเคยเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก คงจริงอย่างที่มีคนพูดไว้ ที่ใดฝนตกที่นั่นรถติด เหมือนที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ 5555
ผลที่ได้คืออุทยานปิดแล้วค่ะ จากข้อมูลที่หามาบอกว่าปิด 5 โมงครึ่ง แต่ตอนเราไปถึง 5 โมงก็ปิดประตูทางเข้าแล้วค่ะ เหลือประตูให้ออกอย่างเดียว เป็นอันว่าแผนล่ม เราเลยมุ่งตรงไปตลาดเลย บอกก่อนนะคะว่าระหว่างนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่เรื่อยๆ แต่เป็นแบบปรอยๆซึ่งเราบ่ยั่น ไปเดินตลาดทั้งๆที่ฝนปรอยนั่นแหละค่ะ ถือว่าที่ตลาดก็คนเยอะในระดับนึงนะคะ ไม่ถึงกับหนาแน่น ของส่วนใหญ่ที่ขายจะเป็นของกิน ซึ่งเราก็ลุยค่ะ เปิดจ็อบที่ก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ 20 บาท แต่ขอบอกว่าผิดหวังมากกก เพราะมันไม่อร่อยเลย T-T เราสามคนเลยต้องหาอย่างอื่นล้างปากต่อไป 5555
สิ่งที่แนะนำให้ซื้อคือขนมถ้วยคุณยายค่ะ แกขายขนมถ้วยหน้ากะทิกับขนมใส่ไส้ แกจะนั่งอยู่ตรงหัวสะพานลงแม่น้ำช่วงกลางๆตลาด มีอยู่เจ้าเดียวค่ะ ถ้าเห็นเป็นคุณยายขายขนมถ้วยก็ใช่เลย ราคาขนมถ้วยอยู่ที่กล่องละ 20 บาท ได้เยอะอีกต่างหาก อันนี้แนะนำอย่างแรง อร่อยมากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) เราซื้อมา 2 กล่องซะเลย กินที่ตลาด 1 กลับบ้าน 1 อิอิ
อีกอย่างที่ต้องไปกินคือพวกอาหารทะเลย่างค่ะ เราซัดปลาหมึกย่างกับเพื่อนซะเปรมเลย พวกของย่างนี่วัดกันที่น้ำจิ้มค่ะ เราจัดไปหลายร้านอยู่นะ ใช้ได้เกือบทุกร้านเลย
พอจบทริปกินเติมพลังเราก็ปิดท้ายวันนี้ด้วยการล่องเรือชมหิ่งห้อยท่ามกลางสายฝนปรอยๆค่ะ ราคาอยู่ที่คนละ 60 บาท ก่อนลงเรือเราถามคนแถวนั้นว่าฝนปรอยแบบนี้จะมีหิ้งห้อยมั้ย เค้าบอกว่าฝนตกแบบนี้หิ่งห้อยจะออกมาบินเล่นหลบฝนใต้ใบไม้ค่ะ เราสามคนก็เชื่อตามนั้นเลยตัดสินใจซื้อทัวร์ ล่องเรือไปตามแม่น้ำแม่กลองพักใหญ่ทีเดียวค่ะกว่าจะเจอหิ่งห้อย แต่มีจริงอย่างที่เค้าบอกนะคะ ในระดับที่โอเคเลยด้วย ระหว่างล่องเรือก็อากาศดีมาก เย็นๆเพราะฝนตก เย็นจนหนาวเลยน่ะค่ะ
สรุปจบทริปวันนั้นได้ไม่ครบแผน ขาดอุทยาน ร.2 ไป แต่ถือว่าอิ่มใจที่ได้เจอเพื่อนค่ะ เพราะยิ่งโตขึ้นยิ่งหาเวลาเจอกันได้ยากมากจริงๆ ได้มาเจอกันแบบนี้จึงมีความสุขมากจริงๆค่ะ :)

All of Me

เพลงนี้ John Legend ผู้เป็นนักร้องได้แต่งเพลงให้ภรรยานางแบบลูกครึ่งไทย Crissy Teigen 
เป็นอะไรที่โรแมนติกมากกก เพลงก็ซึ้งและไพเราะมากเช่นกัน

เพราะทั้งหมดของฉัน รักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคุณ
รักคุณตั้งแต่หัวจรดเท้า
รักความไม่สมบูรณ์แบบอันสมบูรณ์แบบของคุณ




What would I do without your smart mouth
Drawing me in, and you kicking me out
Got my head spinning, no kidding, I can't pin you down
What's going on in that beautiful mind
I’m on your magical mystery ride
And I’m so dizzy, don’t know what hit me, but I’ll be alright

My head’s under water
But I’m breathing fine
You’re crazy and I’m out of my mind

'Cause all of me
Loves all of you
Love your curves and all your edges
All your perfect imperfections
Give your all to me
I’ll give my all to you
You’re my end and my beginning
Even when I lose I’m winning
'Cause I give you all, all of me
And you give me all, all of you

How many times do I have to tell you
Even when you’re crying you’re beautiful too
The world is beating you down, I’m around through every move
You’re my downfall, you’re my muse
My worst distraction, my rhythm and blues
I can’t stop singing, it’s ringing, in my head for you

Cards on the table, we’re both showing hearts
Risking it all, though it’s hard

The Road Not Taken by Robert Frost




Two roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth. 
Then took the other, as just as fair,
And having perhaps the better claim,
Because it was grassy and wanted wear;
Though as for that the passing there
Had worn them really about the same. 
And both that morning equally lay
In leaves no step had trodden black.
Oh, I kept the first for another day!
Yet knowing how way leads on to way,
I doubted if I should ever come back. 
I shall be telling this with a sigh
Somewhere ages and ages hence:
Two roads diverged in a wood, and I--
I took the one less traveled by,
And that has made all the difference. 



'ทางที่ไม่ได้เลือก' บทกวีอันลือลั่นของโรเบิร์ต ฟรอสต์ ใครเรียนเอกวรรณคดีแล้วไม่เคยได้ยินบทกวีนี้ถือว่าเป็นนักเรียนวรรณคดีตัวปลอม ฮ่าๆๆๆๆ
ชีวิตคนเรามีทางเลือกเสมอ เราเชื่อแบบนั้นนะ เราเชื่อว่ามนุษย์มีเจตน์จำนงค์เสรี (free will) ในการตัดสินใจทำอะไรก็ตามในชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าเสียใจในสิ่งที่เราได้ทำลงไป ชีวิตมันเป็นเรื่องของการเลือก และดำรงอยู่ได้ด้วยทัศนคติที่ดี ชีวิตที่ดีก็น่าจะมีส่วนจากทัศนคติที่ดีนะคะ เพราะต่อให้มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น เราเชื่อนะว่าในเรื่องแย่ๆทุกเรื่องมันมีบทเรียนสอนให้เราไม่ทำพลาดซ้ำ ไม่ได้บอกให้มองโลกสวยงาม ขี่ยูนิคอร์นเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์นะคะ แต่หมายถึงให้มองโลกตามความเป็นจริง และเห็นข้อดีของความเป็นจริงนั้นเท่านั้นเองค่ะ :)



มีทางแยกที่กลางป่าฤดูสารท
ฉันไม่อาจเดินไปได้ทั้งสอง
เสียดายนักมาคนเดียวจึงยืนมอง
ตามครรลองของสายหนึ่งจนสุดตา
เห็นถนนคดเคี้ยวเลี้ยวเข้าพง
แล้วตกลงเลือกอีกสายคงดีกว่า 
ด้วยหนทางยังคลุมด้วยต้นหญ้า
ไม่แหลกคาพื้นทางลงเตียนตาย 
แต่ที่จริงก็มีคนย่ำผ่าน
จนหญ้าลาญไปด้วยกันทั้งสองสาย
เช้านั้นสองทางคลุมด้วยใบไม้วาย
ร่วงโปรยปรายไม่โดนย่ำให้ช้ำไป
สายแรกฉันขอเก็บไว้ในภายหน้า
แต่รู้ว่าวิถีพาให้เฉไฉ
จากทางหนึ่งสู่อีกทางจนห่างไกล
จึงสงสัยจะไม่อาจได้ย้อนมา 
อีกแสนนานจากวันนี้ฉันอยู่ไหน
คงจะถอนใจใหญ่เมื่อเล่าว่า
มีทางแยกสองสายในวนา
ฉันเลือกมาตามวิถีคนคลาไคล
น้อยกว่าอีกทางหนึ่งที่แยกกัน
ทางเลือกนั้นส่งผลตามวิสัย
ดำเนินตามเส้นทางที่เลือกไป
จึงได้ผลแตกต่างตามทางเอย


ขอบคุณสำนวนแปลจากคุณ บัญชา สุวรรณานนท์ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 



The Huntsman Winter's War, A Love Story Retold (Spoiled)




ไปดู The Huntsman Winter's War มา ชื่อภาษาไทยคือ พรานป่ากับราชินีน้ำแข็ง
ตอนที่ยังไม่เข้าฉายเราโดนญาติคนนึงหลอกว่าราชินีน้ำแข็งในเรื่องที่เป็นแม่ของสโนว์ไวท์คือเอลซ่า เราเลยคิดว่าเอลซ่าเป็นแม่ของสโนว์ไวท์ไปพักใหญ่ๆเลยถึงรู้ตัวว่าโดนอำ -_-
เรื่องนี้เป็นภาคก่อนหน้าของเรื่อง Snow white and Huntsman ตำนานชู้รักผู้กำกับอันลือลั่นตราตรึง กล่าวคือนักแสดงนำสาวไปเป็นชู้กับผู้กำกับซึ่งมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ว่าง่ายๆคือนักแสดงและผู้กำกับที่เป็นประเด็นไม่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งแน่นอน
เรื่อง Snow White and Huntsman ถ่ายทำและฉายก่อน The Huntsman Winter's War พูดง่ายๆคือเป็นการเล่าย้อนไปก่อนหน้าหรือเป็นปฐมบทของ Snow White and Huntsman นั่นแหละ

มาพูดถึงเรื่องแรกที่เราชอบก่อนดีกว่า เราชอบการแคสต์นักแสดง เราว่ามันลงตัวและสมเหตุสมผลมาก
ตัวละครแรก ราชินีเรเวน่า ตัวร้ายของเรื่อง พูดง่ายๆก็แม่มดนั่นแหละ รับบทโดนชาลิซ เธียรอน คือนางสวย นางสง่า นางมีความงาม ดูแล้วชวนให้เชื่อเวลาที่นางถามกระจกว่า

Mirror Mirror on the Wall, Who is the fairest of them all ?
กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี

แล้วกระจกก็จะตอบว่าราชินีเรเวน่าคือสตรีที่งามเลิศที่สุดในแผ่นดิน คือดูแล้วเชื่อจริงๆว่าตนนี้แหละ งามที่สุดแล้วจริงๆ ว่าแล้วก็ขอแปะรูปหน่อย ไปดูภาพเคลื่อนไหวในโรงหนังยิ่งสวยยิ่งสง่า




ส่วนนักแสดงนำหญิงอีก 2 คนก็สวยนะคะ แต่พูดไม่ถูก เหมือนสวยแต่บารมี (ความงาม) มันเทียบชาลีซไม่ได้

คนแรกก็ราชินีเฟรย่า ราชินี้น้ำแข็ง (ไม่ใช่เอลซ่านะ -_-)
อีกคนก็แม่พรานสาว เมียพี่คริสในเรื่อง




ตัวหนังค่อนข้างเป็น love story นะเราว่า เหมือนนิยายรักโรแมนติกผจญภัยน้อยๆ แต่ตีมหลักของเรื่องคือความรัก ต้นเหตุทุกอย่างในเรื่องล้วนเกิดจากความเข้าใจผิดทั้งนั้น เริ่มจากเฟรย่า ราชินีน้ำแข็งเข้าใจผิด คิดว่าถูกคนรักทรยศหักหลัง เลยระเบิดพลังน้ำแข็งและกลายเป็นราชินีผู้เย็นชาและจับเด็กมาสร้างกองทัพพรานเพื่อขยายอาณาจักร ตัวเฟรย่านี้พยายามที่จะเชื่อว่าโลกนี้ไร้รัก จนตอนหลังเมื่อความจริงเปิดเผยว่าถูกพี่สาว ราชินีเรเวน่าวางแผนทั้งหมด ทำให้เข้าใจผิด ฆ่าลูกของเฟรย่า (สโนว์ไวท์) และไม่ได้ถูกคนรักหักหลังอย่างที่เข้าใจ เฟรย่าจึงยอมรับว่าแท้จริงแล้วความรักนั้นมีอยู่จริง ดังในตอนจบก่อนที่เฟรย่าจะตาย นางพูดกับพระเอกนางเอกว่า

How lucky you are
พวกเจ้าช่างมีบุญนัก

คือเราตีความว่า เฟรย่าเห็นว่าการที่เรามีคนที่รักและรักเราจริงๆช่างเป็นอะไรที่โชคดีและล้ำค่าเหลือแระมาณ ตัวเราเองก็คิดแบบนั้นนะ :)

อีกประโยคที่ตราตรึงจากหนังเรื่องนี้คือ

Stand or fall, together 
ไม่ว่าเป็นหรือตาย ก็จะอยู่เคียงข้างกัน

ประโยคนี้พี่พรานกับแม่พรานสาวของเราเค้าสัญญากันไว้ ซึ่งทั้ง 2 ก็ทำอย่างปากว่าจริงๆ

เรื่องนี้จบดี happy ending เป็นอะไรที่ดูแล้วประโลมโลกย์ดี ชื่นใจ ให้ 7.5/10







แก่งกื๊ด ก่อนสงกรานต์

หายไปหลายวันเพราะกลับบ้านที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นคือทัวร์ตระเวณกินแบบฮาร์ดคอร์ แล้วก็หลับแบบถวายตัวให้เตียง สงกรานต์ปีนี้เหมือนปีที่ผ่านๆมา คือไม่เปียกน้ำเลย เป็นสงกรานต์ที่แห้งสนิทย่างเข้าปีที่ 10 แล้วล่ะมั้ง จำได้ว่าเล่นน้ำสงกรานต์ครั้งสุดท้ายตอนอยู่ ม.4 ผ่านมา 8 ปีแล้ว
แต่ปีนี้พิเศษหน่อย เพราะญาติคนนึงกลับด้วยกัน แล้วญาติคนนี้คือตรงข้ามกับเราทุกอย่าง
เคยพูดกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วว่า คนเราแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือพวก early bird พวกนนี้จะตื่นเช้า เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันช่างทำได้หลายอย่าง สนุกที่จะได้ทำอะไรมากมาย คือญาติเราคนนี้อยู่ในพวกนี้แหละ เป็นคนพลังเหลือมากกกกก นอนดึกตื่นเช้า แถมยังไม่มีอาการง่วงเลยสักนิด จะชวนเที่ยวอยู่นั่น แต่อย่างที่บอก ว่าเรามันตรงข้ามกับเค้า เราคงเป็นพวก night owl ตื่นตอนกลางคืน ดึกๆนี่จะ alert มาก รู้สึกไม่อยากนอน นอนไม่ค่อยหลับอีก แต่ตื่นสาย ระหว่างวันก็ง่วง พลังงานน้อย เดินแป้บๆเมื่อยละ ขอพักก่อน 55555

ปีนี้ที่ต่างออกไปคือพาญาติคนนี้ไปเที่ยวนี่แหละ เพราะปกติสงกรานต์เราจะนอนอยู่บ้าน ตื่นสายๆ หาของอร่อยกิน เป็นแบบนี้ทุกปีและเราก็มีความสุขกับการพักผ่อนวันหยุดยาวแบบนี้

เราพาญาติไปแก่งกื๊ด ออกเสียงยากจังเนอะ เราคิดว่ามันออกเสียงแบบเดียวกับ good แบบออกสำเนียง ไม่ใช่ กู๊ด นะ แต่เป็น ก๊๊ดดดดด ฮ่าๆๆๆๆ เราเองก็ไม่เคยไปที่นี่นะ แต่เคยไปเที่ยวล่องแพสมัยเด็กๆ 2-3 ครั้งแหละมั้ง

นั่นแหละ มันคือแก่ง แก่งคืออะไร เคยล่องแก่งมั้ย สายน้ำที่มีหินอยู่ตามทาง ต้นน้ำมาจากน้ำตกบนเขา ลงมาเป็นลำธาร เป็นเกาะแก่ง ที่นี่เค้ามีกิจกรรมให้ทำเยอะนะคะ มีซุ้มอาหาร (แน่นอนว่าเราเฝ้าซุ้มในระหว่างที่คนอื่นๆไปเล่นน้ำ) อาหารรสชาติธรรมดา ราคากลางๆตามแบบฉบับสถานที่ท่องเที่ยง มีห่วงยางให้เช่า เราเช่าห่วงใหญ่ราคา 50 บาท ไซส์อื่นเราไม่รู้ ถ้าขึ้นไปบนๆต้นน้ำอีกหน่อยจะมีกิจกรรมล่องแพ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแพไม้ไผ่เหมือนสมัยเราเด็กๆแล้ว ตอนนี้เห็นเป็นเรือยาง

อ้อ ลืมบอก เราไปเที่ยววันที่ 11 นะคะ คือยังไม่ใช่วันหยุดสงกรานต์ แต่คนก็เยอะนะ ซุ้มริมน้ำเต็มหมดทุกซุ้มเลย เราไปกันทั้งหมด 5 คน ค่าอาหารโดนไป 600 นิดๆ ไม่มีค่านั่งซุ้ม ไม่โดนเก็บค่าจอดรถเพราะตอนที่ไปถึงมันประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว คือชาวบ้านเค้าเล่นเสร็จและจะกลับกันแล้ว จริงๆแล้วคือเราหลงก็เลยถึงช้า ตั้งใจไปถึงสัก 4 โมงให้แดดร่มลงตกแต่ผิดแผน หลงทางเลยเลทไปชั่วโมงนึง แต่โชคดีหน่อยที่เป็นหน้าร้อน ดวงอาทิตย์เลยตกช้า เรากลับคิดว่าไปเวลานี้พอดีเลยนะ ได้เลนน้ำประมาณ 1 ชั่วโมงซึ่งเราคิดว่ามันน่าจะพอดีแล้วแหละ

คือถ้าไปช่วงกลางวันเห็นว่าจะโดนเก็บค่าที่จอดรถ 50 บาท ซึ่งเค้าดราม่ากันในเพจท่องเที่ยวเชียงใหม่เพจนึง เห็นคนที่ไปช่วงหยุดสงกรานต์ 13 14 15 โดนค่าจอดรถ 50 บาท ต้องสั่งอาหารอย่างน้อย 1000 บาทไม่อย่างนั้นจะโดนเก็บค่านั่งซุ้ม 200 ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ก็บอกว่าเกินไป เราถึงว่าเราโชคดีที่ไปก่อน แล้วช่วงสงกรานต์ก็รถติดยาวเลยด้วย ที่อ่านมาเห็นว่าท้ายขบวนอยู่ที่ 3-4 กิโลเมตรเลย บางคนก็ไปแต่ไม่ถึง ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน สงกรานต์นี่แย่งกันกินแย่งกันเที่ยว เราถึงชอบอยู่บ้านสบายๆมากกว่า

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องน้ำกันบ้าง เราแปลกใจมากกก คือน้ำไม่แห้งเลยยย น้ำเยอะ ไหลแรง เล่นสนุก (เห็นคนที่เล่นดูสนุกกัน ไม่ได้เล่นเอง 5555) น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจมากด้วย อันนี้เราลองเอง เอาเท้าจุ่มน้ำแต่ตัวนั่งบนแพ ฮ่าๆๆๆๆ คือที่แปลกใจนี่เพราะแหล่งท่องเที่ยวที่มีน้ำอื่นๆในเชียงใหม่พากันแห้งหมดไง ขนาดเขื่อนแม่งัดที่ว่าน้ำเยอะยังแห้งจนเห็นสันดอนกลางเขื่อนเป็นบางจุดอ่ะ

เรื่องเส้นทางเราก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ไม่ไกลมากนะ อยู่ทางเดียวกับเขื่อนแม่งัดเลย ใกล้กว่าเขื่อนแม่งัดอีก ปัก google map ไปโลดดด ร้อนๆนี่แนะนำให้ไปเลยยยย อิอิอิ





คุณพี่คนในภาพไม่ใช่ญาติเรานะคะ หากคุณพี่มาเห็นต้องขอโทษและขออนุญาตมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ




ที่เห็นจับมือกันไกลๆ 3 คนนั่น คือ พี่สาวกับญาติเราเอง แลดูฉ่ำกันมาก 5555

จบละ แก่งกื๊ด first time ประทับใจนะ แนะนำๆ 

วิญญาณ

เพลงนี้เศร้านะ ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนวิญญาณในชีวิตของคนที่เรารัก คงยอกแสยงใจดีพิลึก
สิ่งที่ชอบพอๆกับเนื้อเพลงคือเสียงของพี่ ปู พงษ์สิทธิ์ ค่ะ เป็นติ่งพี่ปู เสียงพี่แกเปี่ยมพลังดีเหลือเกิน
แล้วไอ้การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า ทำไมๆๆๆ ในท่อนแรกเนี่ย ฟังแล้วสงสารเลยอ่ะ เพราะเรามีเพื่อนคนนึง นางชอบตั้งคำถามว่าทำไมๆๆๆ ทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงโดนทิ้ง ทำไมเค้าถึงจากไป เราฟังแล้วก็ได้แต่บอกนางไปว่า บางทีเราไม่ต้องหาคำตอบให้กับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิตหรอก เอาจริงๆว่าคนที่อยากจะไป การตั้งคำถามว่าทำไม ทำไมต้องไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีคำตอบให้หรอก  




ทำไมเธอ ถึงไม่เหมือนเก่า
ทำไมเธอ ถึงไม่รักเรา
ทำไมเธอ ถึงมอบทุกอย่าง ให้กับเขา
ทำไมเธอ ถึงอารมณ์ดี
ทั้งๆ ที่ฉันกำลังเศร้า
พยายามเข้าใกล้เท่าไร เธอก็ไม่เอา
เพิ่งได้รู้ ว่าฉันนั้นคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน
หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย
ฉันได้ตายไปจากใจของเธอ
กลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ตั้งนานแล้ว
คำบอกรักกลายเป็นคำหลอกหลอน
คำออดอ้อนกลายเป็นทำให้รำคาญ
ต้องอ้อนวอน ขอพบหน้าเธอ เหมือนขอเศษทาน
ปรากฏตัวให้เธอเห็นที่ใด
เธอร้อนใจ รีบทักทายแล้วเดินผ่าน
ไม่มีแล้ว ยิ้มแห่งความสุข ตลอดกาล
เพราะว่าฉันคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน
หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย
ฉันได้ตายไปจากใจของเธอ
กลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย
คำขอร้องครั้งสุดท้ายถึงเธอ
คำพูดเธอจะปล่อยฉันไปได้
บอกมาเลยว่าหมดรักให้กัน ฉันควรต้องไป
ให้ฉันเป็นวิญญาณ (ให้ฉันนั้นเป็นวิญญาณ)
ที่หลุดพ้นทรมาน

รีวิวสอบราชการกองทัพอากาศ 2559

วันนี้ไปสอบราชการมาค่ะ ตำแหน่งอาจารย์สอนภาษาอังกฤษค่ะ ถ้าได้ต้องไปประจำการที่พิษณุโลก
เป็นการสอบระดับนายทหารชั้นสัญญาบัตร ใช้วุฒิปริญญาตรีสอบ ข้อสอบที่เจอไม่แน่ใจว่าทุกคนที่เข้าสอบวันนี้จะเจอข้อสอบชุดเดียวกันหมดทุกคนรึเปล่านะคะ แต่ว่าที่หน้าข้อสอบจะมีรหัสประจำตัวของผู้เข้าสอบเฉพาะเป็นรายบุคคลเลยค่ะ 
สอบครั้งนี้เป็นการสอบแบบรับตรงนะคะ ไม่ต้องผ่านภาค ก ของสำนักงาน กพ มาก่อน
ก่อนไปสอบก็มีอ่านหนังสือไปค่ะ ซื้อที่ se-ed เป็นพวกหนังสือเตรียมสอบราชการน่ะค่ะ คงจะพอนึกออกนะคะ ราคาเล่มละ 250 บาท สั่งซื้อโดยตรงกับทางเว็บ มาส่งถึงบ้านเลยค่ะ ไม่ต้องลำบากออกไปรถติดซื้อเอง แต่ข้อเสียคือเราจะไม่เห็นเนื้อหาข้างในว่าเป็นยังไง ดีหรือไม่ดี เราก็สุ่มซื้อเอาค่ะ คิดว่าเอามาไว้อ่านพอเป็นแนวทางเฉยๆ วันนี้พอไปเจอข้อสอบจริงก็ได้ข้อสรุปว่าหนังสือที่ซื้อมาอ่านและหัดทำแบบฝึกหัดนั้นยากกว่าของจริงมากเลยทีเดียว ข้อสอบจริงที่เจอวันนี้ง่ายกว่าในหนังสือเยอะค่ะ มีหลายข้อที่ออกตรงด้วยนะ ถ้าใครจะไปสอบแนะนำให้ลองหามาอ่านดูสักเล่มสองเล่มค่ะ แต่ไม่ต้องเยอะกว่านี้นะคะ เพราะส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาข้างในจะคล้ายๆกันและครอบคลุมเนื้อหาประมาณเดียวกัน

วิชาที่สอบเห็นว่าในรอบแรกนี้ทุกคนจะเจอข้อสอบทั้งหมด 5 วิชาเหมือนๆกันนะคะ แต่อย่างที่บอกว่าไม่แน่ใจว่าจำนวนวิชาเหมือนกัน แต่เนื้อหาข้อสอบข้างในจะเหมือนกันด้วยรึเปล่า ข้อสอบมีทั้งหมด 150 ข้อค่ะ รวมกันมาเป็นฉบับเดียวเลย มีกระดาษคำตอบให้ฝนวงกลมด้วยดินสอ 2B แยกต่างหากให้อีกแผ่น ส่วนนี้เห็นว่าเหมือนกันนะคะ 150 ข้อ เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง

ทีนี้อย่างที่บอกค่ะ เราไปสอบตำแหน่งอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ ข้อสอบที่เจอแบ่งออกเป็น

1. คณิตศาสตร์ 12 ข้อ ตรงนี้พูดความจริงค่ะว่ามั่วไปทุกข้อเลย ฮ่าๆๆๆๆ ทำไม่ได้สักข้อ อ่านโจทย์ก็ยอมใจแล้วค่ะ (-_-) แต่ตรงนี้คิดว่าไม่น่าจะยากมากนะคะ เท่าที่อ่านคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ระดับ ม.ปลาย ถ้าพอจะมีใจให้บ้าง ทบทวนสักพัก น่าจะไม่ยากเกินไปค่ะ แต่ส่วนตัวเราเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคณิตศาสตร์ ทำใจให้รักไม่ลงจริงๆค่ะ 5555

2. ภาษาไทย 13 ข้อ ที่เจอในข้อสอบจะมีพวกสำนวนไทยแล้วก็เรื่องอื่นๆแต่ไม่ลงรายละเอียดลึกมาก ที่อ่านในหนังสือไปนี่คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ลิลิต ประโยคความเดียว ประโยคความซ้อนมาเต็ม ส่วนข้อสอบจริงไม่ยากจนเกินไปค่ะ บางข้ออาศัยความรู้เดิมก็สามารถตอบได้ แต่ก็มีข้อที่ลังเลอยู่นะคะ ประมาณว่าข้อนี้ก็ดูดี ข้อนี้ก็เหมือนจะใช่

3. คอมพิวเตอร์ 12 ข้อ ส่วนนี้ก็ไม่ยากมากค่ะ เจอคำถามเรื่องระบบปฏิบัติการ, หากจะนำเสนองานควรใช้โปรแกรมอะไร (Power Point) ประมาณนี้ค่ะ คือออกแนวความรู้ทั่วไปที่ไม่น่ายากสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใช้คอมและอินเตอร์เน็ตช่วยในการเรียนให้จบผ่านมาได้ ฮ่าาาา แต่แนะนำว่าให้ไปจำพวกหน่วยความจำมาค่ะ พวกกิ๊กกะไบต์ กิโลไบต์ เมกะไบต์ อันนี้ออกแต่ตอบไม่ได้ เซ็งนิดหน่อยเพราะเห็นในหนังสือเหมือนกันแต่เลือกที่จะไม่จำเอง สาเหตุเพราะเกลียดตัวเลขค่ะ 5555

4. กฏหมาย 13 ข้อ มีประมาณ 2-3 ข้อเองค่ะที่เป็นกฏหมายระดับลึกๆหน่อย ที่เหลือก็เป็นความรู้ทางกฏหมายทั่วไปที่ประชาชนคนไทยควรจะรู้ การเกิด การตาย การย้ายถิ่น มรดก พินัยกรรม พวกนี้ออกค่ะ อ่านเตรียมไว้ไม่เสียเปล่าเลย 

สี่วิชาข้างต้นรวมกันแล้วก็ 50 ข้อค่ะ ส่วนที่เหลืออีก 100 ข้อเป็นวิชาภาษาอังกฤษล้วนๆเลยที่เราเจอ ตรงนี้ทำให้ค่อนข้างมีความเห็นว่าข้อสอบน่าจะต่างกันไปตามตำแหน่งที่สอบ อย่างเราสอบเป็นอาจารย์สอนอังกฤษก็เจอวิชาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ อ้อ จะสอบตำแหน่งไหนต้องใช้วุฒิเฉพาะทางด้วยนะคะ อย่างตำแหน่งอาจารย์ที่เราสอบก็ต้องใช้วุฒิปริญญาตรีเอกภาษาอังกฤษค่ะ

5. ภาษาอังกฤษ 100 ข้อ เน้นแกรมม่าค่ะบอกเลย แกรมม่าดีมีชัยไปเกินครึ่งแบบเกือบเต็ม ส่วนที่เป็น reading มีแทรกมาตลอดเป็นระยะๆ แต่ไม่อยู่รวมกันเป็นพาร์ทเดียวค่ะ ตรงนี้เราว่าดีนะ ทำให้ไม่เบื่อมาก คือทำ reading ไปสักพักก็เจอข้อย่อยเดี่ยวๆ สักพักก็เจอ reading อีกรอบ ชอบแบบนี้ค่ะ สำหรับ reading บางบทก็ถือว่ายากนะคะ มันยากเพราะกำกวม คือในบทอ่านไม่ได้บอกตรงๆแต่เราต้อง imply จากบทอ่านเอาเอง แต่บางบทก็ไม่ยากค่ะ อ่านแล้วเลือกช้อยส์ตอบได้เลย อีกแบบก็จะเป็นบทสนทนา ตรงนี้ก็ไม่ยากเหมือนกันค่ะ เป็นบทสนทนาทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน อ้อ พวกสำนวนหรือ idiom ก็เห็นบ่อยอยู่นะคะ ไปเก็งๆมาบ้างก็จะดีค่ะ ข้อสอบวิชานี้เรามั่นใจมากที่สุด ผิดเยอะสุดไม่น่าเกิน 10 ข้อค่ะ ฝากความหวังไว้ ณ จุดๆนี้ 5555

หลังจากสอบเสร็จก็ออกมาเผชิญรถติดระดับมหากาฬ คือติดมากกกกก (ก. ไก่สองล้านตัว) เราสอบที่ธรรมศาสตร์รังสิตค่ะ ขนส่งมวลชนไม่ค่อยสะดวก ส่วนใหญ่ที่มาสอบกันเห็นเอารถยนต์มาเองกันทั้งนั้นเลยค่ะ เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ทีนี้พอเลิกสอบพร้อมกันรถเลยติดมาก เฉพาะทางที่กลับเข้ากรุงเทพนะคะ เราเลยตัดสินใจขับรถไปกินกุ้งที่อยุธยาซะเลย หนีรถติด ให้กองทัพรถซาค่อยกลับเข้าพระนคร อิอิ




ร้านที่กินเย็นนี้ชื่อร้านผ่องพรรณค่ะ อยู่ที่ตลาดกลาง อยุธยา ไม่ไกลจาก กทม เลย เรามาตลาดกลางครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกกินร้านอื่น รสชาติเฉยๆและค่อนข้างสกปรกค่ะ แต่เราจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว 
ส่วนวันนี้ถือว่ามิสชั่นการกินสำเร็จค่ะ เพราะร้านนี้อร่อยมากกกก ราคาก็สมกับปริมาณที่ได้รับ ร้านเค้าได้อร่อยเลิศจากคุณหรีดมาการันตีด้วยนะคะ อร่อยจริง เราสั่งไปแค่ 2 อย่างคือกุ้งเผา 1 กิโล 300 บาท และโป๊ะแตกทะเลรวมมิตร 220 บาท ไม่แพงเลยค่ะเมื่อเทียบกับปริมาณ รสชาติ ความสดของอาหาร และความสะอาดของร้าน ถ้าใครมีโอกาสแวะไปตลาดกลางแนะนำร้านนี้เลยค่ะ :)

รีวิวสอบ IELTS Academic Module กับ British Council

วันนี้ไปสอบ IELTS ที่โรงแรมแลนด์มาร์กมาค่ะ เดินทางสะดวกมาก ขึ้น bts ไปลงสถานีนานา ทางออก 2 เดินลงบันไดมานิดนึงก็ถึงเลยค่ะ การสอบจัดโดย British Council Bangkok ค่าสอบ 6,460 บาทถ้วนค่ะ

การสอบ IELTS แบ่งออกเป็น 3 ประเภทนะคะ

1. Academic Module ใช้เพื่อการศึกษาต่อ (เราไปสอบตัวนี้ค่ะ)
2. General Module ใช้เพื่อการทำงานหรืออยู่อาศัยในต่างประเทศ
3. UKVI อันนี้ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้ศึกษามาเลย ฮ่าาาา

ผู้เข้าสอบวันนี้เฉพาะแบบ Academic Module กับ General Module มีทั้งหมด 360 คนค่ะ สอบที่ชั้น 7 ไม่รวมผู้สอบประเภท UKVI ที่สอบอยู่ชั้น 9 นะคะ

การสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเช้าและช่วงบ่าย ช่วงเช้าจะเป็นพาร์ท listening, reading, writing ตามลำดับ พาร์ทการฟังจะให้เวลา 10 นาทีสุดท้ายลอกคำตอบจากสมุดโจทย์มาใส่ในกระดาษคพตอบค่ะ ส่วนพาร์ทอ่านและพาร์ทเขียนจะให้เวลาเท่ากันคือ 1 ชั่วโมง เราต้องบริหารจัดการเวลาเอง แต่กรรมการจะเก็บข้อสอบและคำตอบทีละพาร์ทนะคะ เช่น หมดเวลาทำพาร์ทการอ่าน 1 ชั่วโมงก็เก็บไป แล้วแจกพาร์ทการเขียนต่อ

รีวิวแยกพาร์ทนะคะ

1. การฟัง : เร็วมากกกก ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถามว่ายากมั้ย ตอบได้เลยว่าก็ไม่ได้ยากมาก ระดับเดียวกับ TOEIC ค่ะ แล้วก็เหมือนกันในเรื่องของความเร็วด้วย เทปจะเล่นให้ฟังแค่ 1 ครั้งนะคะ ผู้สอบแต่ละคนจะมีหูฟังของใครของมันค่ะ พาร์ทนี้ถ้าสติหลุดนิดนึงนี่จบเลยค่ะ ต้องสติสตรองมากจริงๆ
2. การอ่าน : สำหรับเราอันนี้กินหมู ส่วนตัวคิดว่าง่ายเลยทีเดียว คือไม่ได้ถามอะไรซับซ้อนมากมาย บทความที่ให้มาก็ประมาณ 1 - 2 หน้า ที่ฝึกทำมาหินกว่าข้อสอบจริงค่ะ แต่!!! เช่นเดียวกันค่ะ สิ่งที่ต้องระวังคือเวลา บทความมีด้วยกันทั้งหมด 3 บทความ ให้เวลา 1 ชั่วโมง ควรใช้เวลาแค่ 20 นาทีต่อบทความเท่านั้นค่ะ ตรงนี้กรรมการคุมสอบจะประกาศเตือนว่าผ่านไปแล้ว 20 นาที อย่างกับรายการเชฟกระทะเหล็ก ฮ่าๆๆๆๆ
3. การเขียน : อันนี้โหดร้ายมาก ให้เขียนทั้งหมด 2 บทความ ส่วนแรกให้เขียนอธิบายและเปรียบเทียบชาร์ทต่างๆ ที่เราเจอเป็น pie chart 3 อันค่ะ ซึ่งส่วนตัวไม่ถนัดอธิบาย pie chart เลยยยย ถ้าเจอ bar chart จะดีกว่ามาก T-T ส่วนที่สองเป็นเขียนแสดงความเห็นค่ะ เราเจอโจทย์ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรหากรัฐบาลจะช่วยเหลือเฉพาะประชาชนในประเทศของตน ทั้งสองส่วนนี้ให้เวลารวมกัน 1 ชั่วโมงค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราต้องแบ่งใช้เอาเอง โจทย์แนะนำว่าส่วนแรกให้ใช้ 20 นาที ส่วน 40 นาทีหลังให้เป็นของส่วนที่สองค่ะ เพราะส่วนที่สอง (อย่างน้อย 150 คำ) คะแนนมากกว่าส่วนแรก (250 คำ) ไม่ต้องถามนะคะว่าใีเวลาระดมไอเดียหรือร่าง outline อะไรรึเปล่า ขอบอกว่าด้นสดตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ เวลามันบีบคั้นเหลือเกิน !

สามพาร์ทข้างต้นจะสอบช่วงเช้านะคะ เริ่มสอบ 9 โมงถึง 12.00 อันนี้ทุกคนสอบพร้อมกันหมดค่ะ สอบเสร็จก็แยกย้ายกันไป แต่ต้องกลับมาตามเวลาของแต่ละคนเพื่อการสอบ speaking ในช่วงบ่ายค่ะ อันนี้เวลาใครเวลามัน ผู้เข้าสอบบางส่วนต้องมาสอบ speaking ในวันถัดไปด้วยนะคะ น่าจะเพราะเวลาไม่พอให้สอบเสร็จในวันเดียว

4. การพูด (ช่วงบ่าย) : อันนี้ก็เข้าไปพูดกับอาจารย์ฝรั่งค่ะ เริ่มแรกเค้าจะถามเราเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป เช่น ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ชอบทำอะไร ประมาณนี้ หลังจากนั้นก็จะเลือกโจทย์เฉพาะมาให้เรา วันนี้เราเจอคำถามว่า เคยตัดสินใจเรื่องอะไรที่ยากที่สุด แล้วผลเป็นอย่างไร แล้วทำอย่างไร ประมาณนี้ เราก็พูดๆในส่วนนี้ไป สุดท้ายจะเป็นการ discuss กันของเรากับอาจารย์ คืออาจารย์จะถามคำถามเราเพิ่มเติมเกี่ยวกับโจทย์ที่เราได้ ส่วนนี้เราชิลล์สุดค่ะ คิดว่าทำส่วนนี้ได้ดีที่สุดเลยด้วย ต้องขอบคุณที่สมัยเรียนเจอฝรั่งมาเยอะเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือกังวลอะไรเลย ก็คุยไปเรื่อยๆ คุยจบก็ขอบคุณเค้าแล้วบอกว่า have a nice day แถมท้าย อาจารย์ที่มาวันนี้มีทั้งหมด 9 คนนะคะ เราได้ห้อง 9 เลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันอื่นๆจะมีกี่คน อาจารย์คนที่เราเจอก็ดูใจดีนะคะ คุยกับแบบเรื่อยๆ ไม่ได้กดดัน ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พาร์ทนี้เลยค่ะ อ้อ เหมือนอาจารย์จะพยายามพูดชัดๆให้เราฟังง่ายด้วยนะคะ เพราะรู้สึกว่าสำเนียง british ที่เคยเจอมามันฟังยากกว่านี้ ฮ่าๆๆๆๆ

สรุปนะคะ เรื่องการบริหารเวลาสำคัญมากจริงๆ ความผิดพลาดส่วนใหญ่ที่เจอมาวันนี้เป็นผลมาจาก time limit ล้วนๆเลยค่ะ ตอนนี้ก็เหลือแต่รอผล เจ้าหน้าที่บอกว่าผลจะออกอีก 2 สัปดาห์ค่ะ ภาวนาให้ได้ overall band ที่ 7.0 ทุกพาร์ทอย่าต่ำกว่า 6 เลยค่ะ สาธุ !

 
Multiverse Blog Design by Ipietoon