Batman VS Superman (Spoiled)




ในที่สุดก็ได้ดู !!!
ที่ไปดูนี่ไม่ใช่อะไรเลย ไปเพราะมีคนเลี้ยงเลยยอมฝ่าฝูงรถออกไปดูที่เมกะบางนา ฮ่าๆๆๆ 
หนังนานมากกกก ดูรอบ 6.45 ออกมาตอน 4 ทุ่ม ถามว่าสนุกมั้ย ไม่ได้มากนะ แต่สนุกแบบมีมิติ 
ด้วยความยาวของตัวหนังเลยทำให้มีบางช่วงที่รู้สึกว่าอืดไปบ้าง แต่โดยรวมคือดี
ขอกล่าวถึงตัวละครหลักแบบแยกก่อน

ตัวแรกแบทแมน นำแสดงโดยป๋าเบน อัฟเฟล็ก (กรี๊ดดดดดดด สามีของน้องงงง !) บารมีเหมาะกับบทบรูซ เวย์นมาก เราว่าเหมาะกว่าคริสเตียน เบลล์ นักแสดงผู้รับบทแบทแมนคนก่อนเยอะเลย เหตุผลคือตามบทแล้วเนี่ย บรูซ เวย์นเป็นมหาเศรษฐีแห่งเมืองก็อตแธม แล้วพี่เบนคือมาดให้มาก ดูภูมิฐานและมีสง่าราศรีสมกับบทดี ส่วนความรู้สึกที่มีต่อตัวละครตัวนี้ คือมันดาร์ก มันมืด มันหม่น แบทแมนเป็นมหาเศรษฐีที่พ่อแม่โดนฆ่าตายต่อหน้าตั้งแต่ยังเด็ก พูดง่ายๆคือมีปม ก็ตามนั้น บทเลยออกมาหม่นๆสมกับความมีปมดี แต่มิติที่ชอบมากในตัวแบทแมนจากเรื่องนี้คือรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่สมจริง มีความเรียลมาก ดูแล้วรู้สึกว่าบรูซ เวย์นเป็นแค่เศรษฐีธรรมาดาที่กลายเป็นซุปเปอร์ฮี่โร่ได้เพราะเงินและความฉลาด พอต้องมาปะทะกับซุปเปอร์แมนจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีความต่างในเรื่องพลังและความสามารถในการต่อสู้มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Iron Man ของค่ายมาร์เวล ป๋าโทนี่ในนั้นคือเทพมาก ความสามารถระดับพระกาฬจนเทียบชั้นได้กับพวกมีพลังพิเศษทั้งๆที่จริงแล้วเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่มีเงินและสมองคล้ายๆกับแบทแมน อีกประเด็นที่ทำให้รู้สึกว่าแบทแมนก็เป็นแค่คนธรรมาดามากๆเลยก็คือฉากที่กำลังจะฆ่าซุปเปอร์แมนได้ (ด้วยกำลังเงินและการวางแผนอย่างชาญฉลาด) ซุปเปอร์แมนพูดชื่อมาร์ธาออกมาแล้วบอกว่าให้ไปช่วยมาร์ธา ตรงนี้ทำให้แบทแมนแทบคลั่ง เพราะแม่ของเขาที่ตายไปก็ชื่อมาร์ธาเช่นเดียวกับแม่ (ชาวมนุษย์) ของซุปเปอร์แมนที่ถูกจับตัวไป 

มาต่อกันที่ซุปเปอร์แมนค่ะ คนนี้ก็ผัว แต่กลับมาคราวนี้ผัวเริ่มหัวเถิก แต่ถ้าถามว่ารักมั้ย ตอบได้ว่าเท่าเดิม เพิ่มเติมเดี๋ยวบอก เฮนรี่ คาวิลล์หล่ออออ ก่อนจะเข้าโรงถึงกับเลือกไม่ถูกว่าทีมใครดี ออกโรงมาแล้วก็ยังเลือกไม่ถูกอยู่ดี ฮ่าาาาา สิ่งที่ชอบที่สุดในตัวละครตัวนี้คือเป็นตัวละครที่ larger than life นะถ้าเทียบกับแบทแมน ด้วยเนื้อหาที่ปูในหนัง สื่อตัวละครตัวนี้ออกมาว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าในรูปแบบหนึ่งที่ส่งมาปกป้องมนุษย์ (แน่นอนว่ามีคนเกลียดอยู่ด้วย) ถ้าเทียบกับแบทแมนแล้ว ซุปเปอร์แมนมีความ ideal กว่าเยอะมาก คือเป็นตัวละครที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ยกตัวอย่างก็เช่นตอนที่แม่ชาวมนุษย์ (มาร์ธา) ถูกจับตัวไป อเล็กซ์ ลูเธอร์ (เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก) บอกว่าจะฆ่ามาร์ธาถ้าซุปเปอร์แมนไม่ไปฆ่าแบทแมนให้ พี่ซุปของเราก็ยังจะอุตส่าห์ไปหาพี่แบทและพยายามอธิบายสถานการณ์ก่อนว่ามาทำไม แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความเรียลของพี่แบท พี่แกไม่ฟังอีร้าค่าอีรมณ์อะไรเลยค่ะ พี่แกจะฆ่าพี่ซุปลูกเดียว สรุปเลยต้องตีกันพักใหญ่ เล่นเอาเกือบตายกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง 

สรุปคือตัวละคร 2 ตัวนี้มีความแตกต่างกันค่อนข้างสูงในความเห็นของเรานะคะ ถ้าเปรียบเทียบโดยใช้หลักจิตวิทยาของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ว่าด้วยเรื่อง id, ego, และ super ego เราว่าพี่แบทจะอยู่ในส่วนของ ego คือมีความสมจริงและมีความเป็นมนุษย์มากที่สุด ส่วนพี่ซุปเอาเข้าเขต super ego เลยค่ะ morality สูงมาก




อีกตัวละครที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ Wonder Woman โผล่มาตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่แรก แต่มาเด่นเอาตอนท้ายๆ เหมือนเป็นการปูทางสำหรับอนาคต เกลสวยมากกกกก เหมาะกับบทมากกก แน่ล่ะสิ ไม่สวยได้ยังไง อดีตมิสอิสราเอลค่ะ แต่ปีไหนจำไม่ได้เหมือนกัน ฮ่าาาา เหตุผลที่ชอบนะคะ สั้นๆง่ายๆเลยค่ะ เท่ห์และสตรองมาก น่าจะเป็นไอดอลของสาวๆหลายคน ว่ากันว่าวันเดอร์วูแมนเป็นฮีโร่หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล DC ทำไม่น่ะหรือคะ ลองมาฟังประวัตินางกันค่ะ วันเดอร์วูแมนมีชื่อจริงว่าไดอาน่า มีสถานะเป็น demigod (ลูกครึ่งเทพ -ถ้าไม่เข้าใจให้นึกถึงเฮอร์คิวลิส หรือไม่ก็อคิลลิสค่ะ ประมาณนั้นเลย) เป็นเจ้าหญิงแห่งเผ่าอเมซอนซึ่งเป็นเผ่านักรบหญิงในตำนานกรีก พลังต่างๆที่มีได้มาจากเทพเจ้าทั้งนั้น รวมไปถึงอาวุธและเครื่องแต่งกายด้วย ไดอาน่าแข็งแกร่งระดับเดียวกับซุปเปอร์แมน ความเร็วเทียบเท่ากับ the flash แถมมี healing factor ถนัดการรบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า (martial arts) หรือการใช้อาวุธต่างๆ พูดได้หลายภาษา มีสัมผัสพิเศษสูงมาก สามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ แถมยังสามารถวาร์บไปยังมิติต่างๆของเทพเจ้าได้ด้วยนะเออ เอาสิ ไม่สตรองให้มันรู้ไป !  




และขอปิดท้ายสั้นๆกับตัวละคร อเล็กซ์ ลูเธอร์ มหาเศรษฐีหนุ่มจิตหลอน รับบทโดยเจสซี่ ไอเซนเบิร์ก (โด่งดังจากบท มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ใน the social network) บอกตรงๆว่าชอบเจสซี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่ารักดี แน่นอนว่าเจสซี่ยังคงรักษามาตรฐานทางการแสดงเอาไว้ได้ดีมาก เล่นได้หลอนและจิตจริงๆ ดูแล้วแอบอยากให้เจสซี่ได้บทโจ๊กเกอร์แทน จาเร็ด เลโต้ (จริงๆคนนี้ก็ผัว) เพราะดูแล้วเจสซี่เหมาะกับบทจิตๆหลอนๆมาก




ปล. รอดู justice league ของ DC รีบๆรวมพลมาสู้กับ the avengers ของ marvel นะจ๊ะ

Paper Towns by John Green



Paper Towns by John Green is regarded as young adult literature that presents the difficult time of American teenagers who struggle to find their identity. Quentin Jacobsen or Q, the narrator of the story, is a high school boy who falls in love with Margo Roth Speigelman, his girl next door. Q represents young people in general who want to be accepted by society. Thus, he conforms to social norms and the rules of society. In contrast with Q, Margo represents a teenager who is independent, rebellious, and brave. She wants to exclude herself from social restriction and follows her own will. While Quentin lives in his comfort zone, Margo thinks that it is more challenging and exciting to live the life in her own way. After inviting Q to her adventurous missions, Margo disappears. Q’s love for Margo leads him to follow the clues that she left behind, and try every possible way to find her. Finally, Q finds out that Margo goes to paper towns because she suffers from the way people idealize her. Living in paper towns, Margo can reveal her own inner self and develop her identity. Although Q knows that he cannot take Margo back, he enjoys that short time with her. After leaving the graduation ceremony to find Margo, Quentin realizes that he experiences significant things in life. He learns to follow his own wishes and makes his own decisions. 

จำทำไม

จำทำไม เออ แล้วจำทำไมอ่ะ
สิ่งนี้คงจะเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ของใครหลายๆคน เมื่อความความสัมพันธ์จบลง ทว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่ตายไปกับความสัมพันธ์ สิ่งที่ยังเหลืออยู่มีทั้งความรักและความทรงจำ
เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด แต่เป็นความทรงจำต่างหาก โคตรเห็นด้วยกับประโยคนี้เลยนะ
สมมติว่าเราเคยมากินร้านนี้กับคนๆนึงเพราะเค้าเป็นคนพามา เราจำเมนูโปรดที่เค้าชอบสั่งได้ วันหนึ่ง ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ต้องจบลง เรายอมรับเลยว่าไม่ใช่คนแข็งแกร่งพอที่จะเดินเข้าร้านนี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไร ถ้าเลี่ยงได้ก็ขอไม่ไปเฉียดใกล้แบบเด็ดขาดอ่ะ เพราะรู้ว่าถ้าไปต้องแปลบไปถึงขั้วหัวใจแน่ๆ
แต่ก็นั่นแหละ คนเรามันไม่เหมือนกัน คนรู้จักในโลกโซเชี่ยลนางหนึ่งบอกว่าจะไปยึดติดกับสถานที่หรือสิ่งของทำไม ก็ถ้ามันจบไปแล้ว ก็แค่ใช้ชีวิตต่อไปให้เหมือนเดิม ให้เป็นปกติที่สุด อยากกินอะไรร้านไหนก็ไป ไม่เห็นจะต้องคิดถึงหรือสนใจเลยว่าเคยมีสิ่งที่เรียกว่า 'ความทรงจำ' อะไรที่นี่ คือบอกเลยว่านางสตรองมากกกก เพราะเราทำไม่ได้ว่ะ ไม่ได้แน่ๆ มันไม่ไหวจริงๆ




ถ้าจะฟังเพลง จำทำไม ขอบอกว่าต้องเวอร์ชั่นที่ นุช นีรนาท ร้องเท่านั้น เพราะมันช่างบาดลึกเหลือเกิน ฟังละโคตรเจ็บ



อยู่ตรงนี้ ทุกครั้งที่นอนเดียวดาย
แค่หลับตาก่อนนอนครั้งใด
ยังเห็นเธออยู่ เธอยังไม่ลบเลือนไป
จากวันนั้น วันนี้ฉันไม่มีใคร
เก็บอาการซ่อนความเสียใจ
ยังรักเธออยู่อีกนานไหม

ก็รู้ทั้งรู้ว่ารักเธอคงไม่ย้อนมา
รู้ทั้งรู้ต้องใช้เวลาเพื่อลืมเธอ เข้าใจ

แต่ทำไมๆ ต้องจำ เมื่อเธอไม่คิดจริงใจ
ทำไมๆ ความรักที่เธอนั้นลืมต้องเก็บมาคิดฟูมฟาย
อะไรๆ ยังย้อนเข้ามา ทุกช่วงเวลา
นั้นยังไม่เคยจางหาย วันที่ฉันมีเธอ
ไม่ว่าเวลาจะนานเท่าไร ฉันลืมไม่ได้จริงๆ

คนที่รักจริงจัง จะรักเพียงเธอทั้งหมดใจ 
ฉันลืมไม่ได้จริงๆ


รายชื่อหนังที่อยากดูแต่พลาด

เมื่อก่อนสมัยอยู่บ้านที่เชียงใหม่ การไปดูหนังเป็นอะไรที่ง่ายมาก เพราะบ้านเราแทบจะตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างชนิดที่ว่าใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็ถึง แถมค่าตั๋วยังถูกถ้าไปดูวันพุธ หรือไม่ก็ใช้บัตรนักศึกษา เอาเป็นว่าดูหนังทีนึงราคาประมาณ 100 บาทซึ่งเป็นอะไรที่ฟินมาก เราเลยแทบจะไม่พลาดการดูหนังเลย เราเป็นคนที่ชอบไปดูหนังรอบดึก และก็ไปคนเดียว การที่ห้างอยู่ใกล้บ้านแถมตั๋วถูกจึงเป็นอะไรที่ทำให้เราดูหนังบ่อยมากจริงๆ
ทุกวันนี้มาอยู่ กทม สิ่งที่เปลี่ยนไปแบบสังเกตได้คือไปดูหนังน้อยมากกก อันที่จริงช่วงครึ่งปีมานี้แทบจะไม่ได้ออกไปดูหนังเลยมั้ง สาเหตที่บั่นทอนที่สุดสำหรับเราคือรถติด การจะเดินทางเพื่อออกไปดูหนังแต่ละครั้งกลายเป็นเรื่องน่าลำบากใจลำบากกาย แค่คิดถึงสภาพการจราจรก็ท้อใจแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ช่วงเวลาเกือบปีที่ผ่านมาเราพลาดหนังไปหลายเรื่องมาก วันนี้ก็เลยอยากจะลิสต์รายชื่อหนังที่พลาดไปอย่างคร่าวๆ เพื่อที่ว่าจะเก็บไว้เป็นอ้างอิงเพื่อหามาดูในอนาคต 5555

Paper Towns (เมืองกระดาษ) หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ John Green Green เจ้าของเดียวกับ The Fault in Our Stars อันโด่งดัง ตัวหนังว่าด้วยประเด็นการ Coming of Age ของชีวิตวัยรุ่น สำหรับเราคือมันน่าดูมากๆ สัญญากับเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่าจะไปดูด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปเพราะชีวิตมันมีความเปลี่ยนแปลงเสมอ อะไรที่คาดหวังตั้งใจไว้ จู่ๆก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด คิดแล้วก็เศร้าเล็กน้อย



Crimson Peak (ปราสาทสีเลือด) สาเหตุหนึ่งที่อยากไปดูเรื่องนี้คือเป็นติ่งนายท่าน นายท่านแสดงนำในหนังเรื่องนี้ค่ะ พี่ Tom Hiddleston ของน้องงงง แต่อันที่จริงตัวหนังก็น่าดูด้วยเถอะ พี่ทอมเป็นคนมีรสนิยมเลยเลือกรับเล่นแต่บทหนังดีๆไง



007 Spectre อันนี้เป็นหนังที่ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่าพลาดไปได้ยังไง ! คือตั้งแต่โตมาพอจำความได้ ไม่เคยพลาดหนังที่แปะยี่ห้อ 007 เลยสักครั้ง แถม 007 ปัจจุบันยังแสดงนำโดยพี่ Daniel Craig บอนด์ผมทองคนแรก (ปกติบอนด์ต้องผมสีเข้มตามบทประพันธ์) ซึ่งเราว่ามันเป็นอะไรที่เซ็กซี่มากกก แล้วเค้าก็เล่นได้มี sex appeal เหลือเกิน ! สรุปคือยังสงสัยตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ว่าพลาดได้ไง -_-



และ Batman VS Superman ที่กำลังลงโรงอยู่ตอนนี้ก็มีทีท่าว่าเราจะพลาดเช่นกัน ว่าจะไปๆแต่ก็คิดหนักจนไม่ไปทุกที ที่อยากดูเรื่องนี้เหตุผลหลักคือเป็นคนชอบดูหนังซุปเปอร์ฮี่โร่อยู่แล้ว ชอบมากด้วย ถ้าเป็นหนังซุปเปอร์ฮี่โร่นี่จึงไม่ค่อยพลาด อีกเหตุผลนึงคือชอบ Henry Caville ที่รับบทเป็นซุปเปอร์แมน ถึงพี่เค้าจะหัวเริ่มเถิกเล็กน้อยแต่น้องก็ยังรักพี่เค้าไม่เปลี่ยนแปลง



คิดถึงสมัยเรียนช่วงม.ปลายกับหมาลัย เพื่อนสมัยม,ปลายคนนึง (คนละคนกับข้างบนนะ) เราจะเป็นคอเดียวกันเรื่องการดูหนังมาก คบกันตั้งแต่สมัยม.ปลายยันมหาลัย ไปดูหนังด้วยกันบ่อยๆ โดยเฉพาะหนังซุปเปอร์ฮี่โร่ พอเรียนจบก็ย้ายมา กทม เหมือนกันทั้งคู่ แต่น่าแปลกที่เราแทบจะไม่ได้เจอกันเลย เราขอวิเคราะห์ว่าต้องเป็นเพราะอุปสรรคทางการจราจรแน่ๆ




ยื้อ, เบน ชลาทิศ Ost. ทรายสีเพลิง

ฟังเพลงนี้แล้วสลับกับเพลง ปล่อย ของพี่ป๊อป ปองกูลแล้วขำดี ช่างเป็นเพลงที่เนื้อหาตรงข้ามกันอะไรเบอร์นั้น ราวกับว่าแต่งเพลงออกมาต้านกัน 555555555
แค่ชื่อเพลงก็เป็น binary opposition ละ 'ยื้อ' กับ  'ปล่อย'
มีอยู่ช่วงนึงที่ฟังเพลงนี้ทุกวันและทั้งวัน สมัยนั้นยังทำงานที่เก่าก่อนจะลาออก เพื่อนร่วมงานที่สนิทกันคนนึงของเรานางเป็นประเภทติดเพลงใดเพลงนึงเป็นช่วงๆ ( อย่าคิดถึงมุกหลินฮุ่ยนะ เก่าแล้ว ;p ) แล้วก็มีช่วงนึงช่วงนั้นแหละที่นางติดเพลงนี้ เปิดฟังมันทุกวันทั้งวัน เราก็ฟังจนติดตามนางไป
อ้อ เพื่อนคนนี้เป็นกุมารผีของเรา นางกับเราเกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แถมยังใจตรงกัน ชอบอะไรเหมือนๆกันได้บ่อยอย่างน่าประหลาดด้วย พูดแล้วก็คิดถึง ลาออกมาแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็นะ ชีวิตก็แบบนี้




ก็มันยังไม่พร้อม ที่จะเสียเธอไปอีกคน
เพราะว่าใจฉันคงจะทน ต่อไปไม่ไหว

ก็เธอคือชีวิต ไม่มีเธอจะทำอย่างไร
ฉันจะเดินก้าวไปยังไง หากไม่มีเธอจริงๆ

อย่าไปจากฉัน สัญญาได้หรือเปล่า
ให้โอกาสฉัน รักเธออีกต่อไป
เธอก็รู้ว่าฉันนั้นไม่มีใคร ขาดเธอไปสักคน
ฉันคงจะตาย จะหายใจอย่างไร โดยที่ไม่มีเธอ

แค่เพียงได้ซื้อเวลา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้เธอไม่จากไปไหน
จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะยอมทั้งนั้น
แค่เพียงให้เธอคืนมา ได้ยื้อเวลา
สักนาทีก็มีค่ากับฉัน ขอร้องเธอได้ไหม
อย่าให้ฉันต้องทนต้องอยู่คนเดียว

อยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีเธอให้รักต่อไป
เพราะว่ามันรวดเร็วเกินไป ที่จะทำใจ

จะทำอย่างไร ให้ฉันยังมีเธอต่อไป ฉันไม่รู้จริงๆ
ฉันไม่รู้จะทำไง จะมีทางสักทางบ้างไหม ที่จะรั้งใจเธอ


7 เหตุการณ์ประทับใจในการทำงานบนฟ้ามากว่า 10 ปี, กระทู้จากพันทิป

อ่านบทความของสจ๊วตท่านนี้ที่มาเขียนไว้ในพันทิปแล้วชอบมากกก ขอเอามาแปะหน่อย ส่วนตัวก็อยากเป็นแอร์นะคะ แต่ติดที่ส่วนสูงซึ่งยังไง๊ยังไงก็ไม่ถึง ทั้งๆที่มั่นใจมากว่าสวยและภาษาดี ฮ่าาาา ;p
ขอบคุณกระทู้จากพันทิปมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
http://pantip.com/topic/34956340?utm_source=facebook&utm_medium=pantip_page&utm_content=Boom&utm_campaign=34956340


สนามบินเป็นสถานที่รวบรวมความหลากหลายทางความรู้สึกมากที่สุดสถานที่หนึ่ง
ว่ากันว่าใครที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่นี่ มักจะหลงใหลจนไม่อาจถอนตัวทำงานอย่างอื่นได้

ผมก็เช่นกัน เริ่มงานจากเด็กบ้านๆที่คิดมาตลอดว่าบ้านตัวเองคือที่ที่ปลูกข้าวมากที่สุดในประเทศไทย
เพียงเพราะว่าบ้านอยู่กลางทุ่งนาที่มีเนื้อที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

เสน่ห์ของมันอยู่ที่ไหน....
..อาจเป็นที่ความกดดันที่เหมือนจะระเบิดหัวตัวเองออกมาเป็นเสี่ยงๆ แต่พองานจบทุกอย่างกลับปลอดโปล่ง คงเหลือไว้แต่สารอะดีนาลีนที่หลั่งออกมายามตื่นเต้น
..อาจเป็นการที่ได้พบปะผู้คนหลากหลายเชื้อเชื้อ วัฒนธรรม และภาษา ได้เห็นคนยืนเยี่ยวในอ่างล้างหน้า เห็นฝรั่งแอบโซ้ยกันในมุมอับของสนามบิน
..หรืออาจเป็นการได้เห็นผู้คนหลั่งใหลมารอรับคนที่รักด้วยใจเต้นระริก มาส่งคนที่รักด้วยใจหดหู่ ออกด้วยเดินทางด้วยใจโหยหา หรือกลับมาพร้อมน้ำตาแห่งความผิดหวัง

ความหลากหลายทางอารมณ์ในสถานที่แห่งนี้นี่เอง ที่ทำให้ผม ติดแหง็กอยู่ที่นี่กว่า......10 ปี

ผมเริ่มต้นจากงานเล็กๆในสนามบิน และค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เหลือแค่ขับเครื่องบินอย่างเดียวที่ยังไม่ได้ทำในสถานเริงรมย์แห่งนี้

เคยออกไปทำอย่างอื่นไหม??
..เคยครับ แต่ก็ต้องวิ่งโร่กลับมาสายงานเดิม ด้วยเพราะเราถูกหล่อหลอมให้เป็นมนุษย์สายการบินไปแล้ว จึงยากที่จะรับงานที่เข้าออกตรงเวลา
วัฒนธรรมมนุษย์ออฟฟิศก็ช่างแตกต่างจากพวกเรา ผู้รู้(เรื่องคนอื่น) ผู้ตื่น(ต้องตื่นได้ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน) ผู้เบิกบาน(และต้องยิ้มให้งดงามเสมอแม้ในยามที่ผู้โดยสารกำลังยืนด่า ฟ๊ากยูว์ อย่างได้อารมณ์) อย่างสิ้นเชิง

งานสุดท้ายที่ผมจะหยุดและทบทวนตัวเองเพื่อที่จะก้าวออกไปสู่วิถีชีวิตเกษตรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ งานสจ๊วต

10 ปีสำหรับการทำงานบรรทุกความคิดถึง การรอคอย ความสิ้นหวัง ความตื่นเต้น การคาดหวัง การโหยหา การหลีกหนี การเริ่มต้นใหม่และอีกหลายๆเหตุผลที่ทำให้คนๆหนึ่งตัดสินใจ "ออกเดินทาง"
มันเป็น 10 ปีแห่งความคุ้มค่าที่ผมเอง บอกกับตัวเองเสมอว่า  "ผมตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกเดินสายนี้"

10 ปี กับ 7 เหตุการณ์ประทับใจที่ผมไม่มีวันลืมกับอาชีพ "พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน"

อันดับ 7... Welcome  to the Airport

ผมจะไม่มีวันลืมวันนั้น วันที่ตัดสินใจขัดใจแม่ด้วยการหอบเงินแค่ 5000 พร้อมกับคำสัญญาที่ว่า ถ้าสองเดือนยังไม่ได้งานผมจะต้องกลับไปทำงานที่บ้าน
ผมไม่เคยมากรุงเทพฯ ไม่เคยเฉียด ไม่เคยคิดจะมาอยู่ แต่พอหลังเรียนจบโชคชะตาก็เริ่มทำงาน จำได้ว่าหอบลังเบียร์ช้างมา 1 ใบ พร้อมเอกสารสมัครงาน
เดินหางานในกรุงเทพฯ จนรองเท้าขาด เช่าหอที่มีแต่สาวโรงงานอยู่เดือนละ 1500 ไปสมัครหมด แต่ไม่มีที่ไหนรับ เคยไปสมัครธนาคารแห่งหนึ่ง
ยังจำใบหน้าผู้รับสมัครที่โยนใบสมัครเราลงถังขยะแล้วบอกว่า ที่นี่รับแต่เด็ก....ได้ดี ทุกวันนี้เงินเดือนเข้าธนาคารแห่งนี้ ผมจะถอนออกมาหมด
แล้วเอาไปฝากอีกธนาคาร และทุกครั้งที่ธนาคารแห่งนี้โทรมาขายประกัน เสนอบัตรเครดิต ผมจะบอกเหตุผลไปตรงๆทันทีว่า "ผมไม่ถูกโฉลกกับสีน้ำเงิน"
555 อาจฟังดูงี่เง่า แต่เหตุการณ์วันนั้นมันยังฝั่งอยู่ในใจ

ผมหางานไม่ได้ เงินที่เอามาก็จะหมด พร้อมกับเวลาที่สัญญากับแม่ก็ใกล้จะมาถึง วันนั้นตัดใจแล้วว่า กลับบ้านแน่กุ แต่บ่ายเดียวกันนั่นเองก็ได้รับสายว่าให้ไปเริ่มงานที่สนามบินทันที

ผมไม่มีภาพใดๆเกี่ยวกับสนามบิน เครื่องบิน การเดินทางทางอากาศเลย วันแรกที่ประตูสนามบินเปิดออกคือวันที่ผมไม่มีวันลืม
เช้าตีห้าในเดือน มิถุนายนที่มีฝนตกโปรยปราย ประตูเหล็กขนาดยักษ์เปิดออก พร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขอดูบัตร
และทันทีที่เข้าไปภายในสนามบิน โลกของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เครื่องบินจอดเรียงราย มีรถบรรทุกเข้าออก รถขนกระเป๋า คลีนเนอร์
ทุกอย่างทำงานราวกับใครเป็นคนโปรแกรม และตอนนี้ผู้โปรแกรมก็ได้จับผมใส่ในโปรแกรมนี้เป็นอีกชิ้นส่วนในการขับเคลื่อนในสายอาชีพนี้ไปแล้ว

ผมเลิกงาน โทรบอกที่บ้าน "ผมได้งานแล้วนะครับ"

จนวันนี้ 10 ปีผ่านไป ผมยังจำเสียงนั้นของแม่ได้ดี
"ตั้งใจทำงานนะลูก แล้วมาพาแม่ไปนั่งเครื่องบินบ้างนะ"


ผมเดินทางทั่วโลก ไปแม้ในที่ที่ไม่เคยมีใครไป เห็นโลก เห็นผู้คนมามากมาย แต่ก็ไม่เคยลืมวันนั้น วันแรกที่ผมเห็น "สนามบิน"

อันดับ 6 ความตายไม่อาจพราก

วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นวันที่ผมกำลังนั่งรอเครื่องเพื่อจะทำต่อไปอีกจุดหมายหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีข่าวรายงานสดว่าเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม
ที่ภูเก็ต แล้วทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หลายวันผ่านไปผมต้องทำไฟล์ออกจากภูเก็ตไปฮ่องกง มันเป็นเที่ยวบินที่หดหู่ที่สุด หากเป็นไฟล์ภูเก็ตเมื่อก่อน ผู้โดยสารก็จะตั้งใจที่จะมาพักผ่อน
พวกเขาจะตื่นเต้น ร่าเริง รอคอยที่จะได้เห็นภูเก็ต ต่างจากเที่ยวบินนี้

ผมเดินเสริฟอาหารให้กับพวกเขาอย่างเคย แต่น้อยคนที่จะแตะอาหารในกล่องนั้น  พวกเขาเหม่อลอย และสิ้นหวัง
สัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดเปิดขึ้น ผมเดินเชคห้องโดยสารเพื่อดูความเรียบร้อยก็เจอผู้โดยสารสูงอายุชาวฮ่องกงท่านหนึ่งในที่นั่ง 26B และข้างๆกันนั้น คือ 26A เป็นที่นั่งติดริมหน้าต่าง มีโถลายครามขนาดพอมือจับวางอยู่ใบหนึ่ง
"รัดเข็มขัดหน่อยนะครับ" ผมเอือมมือไปรัดเข็มขัดให้กับโถลายครามใบนั้น
"เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง" จู่ๆคุณลุงก็พูดออกมา ผมหมดข้อกังขาทันทีว่าโถใบนั้นคืออะไร "เหงาเหมือนกันนะ ไม่มียายแก่คอยถามนู่นถามนี่"

ถ้าคุณเห็นรอยยิ้มของท่านผู้โดยสาร 26B  วันนั้น คุณจะเข้าใจเลยว่า รอยยิ้มของการต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวันข้างหน้าโดยไม่มี "ยายแก่" อย่างที่ลุงบอกนั้นมันน่าเศร้าเพียงใด

ผมไม่มีมีคำปลอบใดๆให้คุณลุง เพียงแต่นั่งลง "ทานน้ำอะไรหน่อยไหมครับ"
"ลุงอยากมาเที่ยวที่นี่ แต่ยายแก่ไม่อยากมา เขากลัวเครื่องบิน"

ผมจำได้ว่าลุงบอกว่ากลัวเครื่องบิน

"ลุงพาเขามาตาย" แล้วลุงก็ร้องไห้ใส่ฝ่ามือตัวเองจนตัวสั่น
ผมเอง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการวางมือลงบนบ่าและลูบเบาๆ

ทุกวันนี้ผมยังระลึกถึงเหตุการณ์นี้อยู่เสมอ

การต้องอยู่โดยไม่มียายแก่ และต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ว่าต้องพายายแก่มาตาย คงลำบากมากสินะครับลุง.....
แต่ผมเชื่อว่า ยายแก่ของลุงคงไม่คิดโทษลุงด้วยเหตุผลนี้เป็นแน่

อันดับที่ 5 จะขอพาแผ่นดินเกิดไปทุกหนแห่ง
ผมไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่า การเกิดมาในแผ่นดินที่สงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่ต้องฆ่าฟันกันเอง มันวิเศษขนาดไหน
จนกระทั่งวันนั้น

เที่ยวบินพิเศษถูกจัดขึ้นโดยมีเส้นทางบินจากจอร์แดนไปออสเตรเลีย เพื่อขนส่งผู้อพยพไปยังประเทศที่ ผู้อพยพชาวอิรักเหล่านั้นต้องเดินทางมาจากอิรักมายังจอร์แดนเพื่อนโดยสารต่อ เพราะเราไม่สามารถบินเข้าประเทศอิรักได้
ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน คิดเพียงแค่ว่า ก็ดีแล้ว จะได้ไปอยู่ประเทศที่ดีๆ ประเทศที่รบกันฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แถมยังแร้นแค้นลำบาก
ใครจะอยากไปอยู่


แต่ผมคิดผิดถนัดครับ เมื่อถึงเวลาบอร์ดผู้โดยสาร ประตูรถเปิดออก ผู้อพยพมองขึ้นมาบนเครื่องบิน และทันใดนั้นพวกเขาก็ร้องไห้ ทรุดตัวลงกับพื้น
ผมตกใจกับภาพที่เห็นมาก บางคนใช้มือทั้งสองข้างโกยดินขึ้นมาลูบหน้า บางคนก็ร้องไห้จะกลับประเทศตัวเอง

แต่สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็ถูกนำตัวขึ้นเครื่องบิน

ไม่มีผู้โดยสารคนใดบนเครื่องบินแม้แต่คนเดียวที่มีรอยยิ้ม ยังมีแต่เด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เท่านั้นที่ยังพอจะตื่นเต้นกับเครื่องบิน
ทันทีที่ล้อของเครื่องบินละจากพื้นดิน ผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งก็ร้องไห้โฮ ออกมา พร้อมกับแกะห่อผ้าสีดำซึ่งภายในบรรจุ "ดิน" ไว้
หล่อนเอามันมาจูบครั้งแล้วครั้งเล่า

มันเป็นภาพที่สะเทือนใจผมมาก และทำให้เข้าใจในวันนั้นนั่นเองว่า เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในประเทศไทย
และเมื่อเกิดเหตุการ์ความไม่สงบในประเทศไทยครั้งใด ผมก็หวังในใจว่าอยากจะดึงเอาภาพเหตุการณ์ในความทรงจำของผมในวันนั้นมาฉายเป็นภาพให้ทุกคนได้เห็น  เพื่อจะได้ตระหนักว่า การที่ต้องตกอยู่ในสภาพผู้ลี้ภัยที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน จากครอบครัว มันเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้ เวลาดูข่าวสงครามครั้งใด ภาพของหญิงแก่คนนั้นก็จะชัดเจนในความรู้สึกอยู่เสมอ

อันดับที่ 4 ยัยเด็กโจเซฟีน

ไฟล์ออสโล- กรุงเทพฯ เป็นอีกไฟล์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความป่วง ทั้งอลม่านเพราะคนเมา ทั้งวุ่นวายเพราะไฟล์ยาว
ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานในครัวหลัง
พอสัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดดับลง มหกรรมการแข่งขันกันกด call bell ก็เริ่มขึ้น
"ตึ๊ง"
"ตึ๊ง"
"ตึ๊ง"
"ตึ้งๆๆๆๆๆ"
มองไปในห้องโดยสารสว่างไสว ราวกับกำลังเดินอยู่บนท้องฟ้าที่มีดวงดาวสีน้ำเงินพร่างพราวเต็มไปหมด (เสียงนาฬิกาปลุกของผมจะเป็นเสียงนี้
แค่ดังตึ๊งเดียว จะหลับลึกสุดก้นมหาสมุทรแปซิฟิกแค่ไหน มันก็จะจิกหัวกระชากคุณขึ้นมาจากภวังค์ได้เพียงแค่ "ตึ๊ง" เดียว)

ผมเตรียมจัดอาหารและเครื่องดื่ม ก็จะมีผู้โดยสารคนนู้นคนนี้มาของวอดก้า เบียร์ ไวน์ วอดก้า เบียร์ ไวน์ วอดก้าาเบียร์ไวน์ ทุกๆหนึ่งนาที
จนผมเอี้ยวกันคอเคล็ด

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ การปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงผมสีทองตาสีฟ้าผู้ลึกลับคนหนึ่ง นามว่า "ยัยเด็กโจเซฟิน" อายุน่าจะประมาณ 6-7 ขวบ
รอบๆตัวนางมีมีรังสีประหลาด โจเซฟินจะมายืนเอามือไพล่หลัง และมองพวกเราอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับกำลังจะคอยจับผิดการทำงานของเรา

" Madam Do you need any help?" ผมเรียกเจ้าหล่อนว่ามาดาม เพราะท่วงท่าที่ดูน่ากริ่งเกรงนั้นเอง
แต่พอถามหล่อนก็ไม่ตอบ สะบัดตูดเดินหายไป

สักพักมาอีกแล้ว พวกเราวุ่นวายจัดของ ก็เดินแทรกๆเข้ามาเหมือนหนูนาหารูลง แล้วก็หยุดมอง พอถามก็ไม่ตอบและเดินหนี

สักพักก็กลับมาอีกคราวนี้ปีนหลังเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งที่นั่งจัดคาร์ดอาหารอยู่ จนทำให้เพื่อนไม่พอใจ แล้วไปหยุดหน้าห้องน้ำ ก่อนจะยืนดูบางอย่าง และปีนกลับไปอีกรอบ

และในขณะที่พวกเรากำลังเสริฟอาหาร ซึ่งไม่สะดวกที่จะให้ผู้โดยสารเดินไปมา หล่อนก็ไม่วายจะแทรกเข้ามา พอบอกว่าไม่ได้ๆ ก็ไม่ฟัง
ตอนนั้นพวกเราเริ่มไม่พอใจแล้ว ว่าทำไมพ่อแม่ไม่มาดู แล้วอิเด็กโจเซฟีนนี่ ต้องการอะไรกันแน่

และหลังจากนั้นทั้งไฟล์ เจ้าหล่อนก็เดินไม่หยุด   11 ชั่วโมงจะยาวนานแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้หล่อนหยุดเดินได้

พวกเรานั่งอยู่ นางจะข้ามก็ข้าม
พวกเรากินข้าว นางเดินดุ่มกระชากม่าน มองเราหัวจรดเท้า พอเราถามก็สะบัดตูดหนี
พวกเรา รอทำห้องน้ำ หล่อนจะเดินผ่านก็ผลักเราจนเซถลา
หล่อนเข้าไปในห้องน้ำกดปุ่มขอความช่วยเหลือ ก็วิ่งกันวุ่นไปอีก

เรียกได้ว่าป่วนทั้งไฟล์

ป่วนเราไม่พอป่วนผู้โดยสารคนอื่น ไปปีนเก้าอี้ ปีนเบาะเค้าไปทั่ว
จนสุดท้ายที่ทำให้ผมทนไม่ไหวคือออกจากห้องน้ำ ปัง เจออิเด็กโจเซฟีนกำลังจับที่เปิดประตูและทำท่าคล้ายจะเปิดประตู
ผมรีบคว้ามือ และดุเจ้าหล่อนก่อนจะลากมือมาตามหาแม่

จนในที่สุดก็พบแม่เจ้าหล่อนนั่งอุ้มเด็กผู้หญิงอีกคน

"ขอโทษนะครับ รบกวนช่วยดูลูกคุณหน่อย เขาพยายามจะเปิดประตู" ผมพูดเสียงแข็ง
ผู้เป็นแม่ตกใจ พลางรีบขอโทษขอโพย และหันไปดุลูก

"ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีเราเดินทางกันสามคนแม่ลูก และดิฉันต้องคอยดูแลน้องของโจเซฟีน" ผมมองไปที่เด็กผู้หญิงอีกคน พร้อมกับสงสัย
"โซเฟียน่าขี้สงสัยมากค่ะ เธอชอบให้พี่สาวเธอไปดูนู่นดูนี่ให้เธอ" ผมนั่งยองๆคุยกับผู้เป็นแม่
"โซเฟียน่าเดินไม่ได้ค่ะ" ผู้เป็นแม่เปิดผ้าห่มของลูกสาวคนเล็กออกเผยให้เห็นสภาพของน้องที่มีแค่ "ครึ่งท่อน"

ผมนั่งฟังผู้เป็นแม่อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะลูบหัวโจเซฟีนแล้วเดินกลับมาครัวหลังพร้อมรอยยิ้ม

"โจเซฟีน พวกเขามีผมสีอะไรกันนะ"
"โจเซฟีน ห้องน้ำที่พี่บอกว่าประหลาด มันเป็นยังไงเหรอ"
"แล้วรถเข็นมีกี่ล้อ"
"แล้วพวกเขากินขนมปังรรึเปล่า"
"ไฟสีฟ้าๆบนนี้กดได้ไหม"
"ในครัวมีตัวกินขยะด้วยเหรอ"
"แล้ว บลาๆๆๆๆ"

สรุปโจเซฟีนมีน้องสาวที่ช่างสงสัย หล่อนสงสัยไปทุกเรื่อง และทุกเรื่องก็มักจะถามโจเซฟีน และทุกครั้งที่ถาม เจ้าหล่อนก็จะต้องวิ่งมาหาคำตอบให้น้องสาวเพราะน้องสาวไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ เป็นแบบนี้เกือบ 11 ชั่วโมง

11  ชั่วโมงที่พี่สาวตัวน้อยคนนี้ทำเพื่อน้องสาว สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มาก ผู้โดยสารคนอื่นหรือแม้แต่ลูกเรือยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
แต่ไม่ใช่สำหรับโจเซฟีน เจ้าหล่อนไม่เคยชักสีหน้าไม่พอใจ หรือแสดงอาการเหนื่อยหน่าย มีแต่ความกระตือรือร้นหาคำตอบให้น้องสาวที่รอคอยอยู่บนตักแม่เท่านั้น ที่ทำให้หล่อนวิ่งวุ่นทั้งไฟล์

ครั้งสุดท้ายที่โจเซฟีนมาหาพวกเราที่ครัวหลังคือครั้งที่แม่ของหล่อนเขียนขอโทษและขอบคุณพวกเราที่ดูแลเป็นอย่างดี
ผมคว้าตัวโจเซฟีนมา ก่อนจะยิ้มให้หล่อน พร้อมกับขอโทษที่รำคาญเจ้าหล่อนในตอนแรก

สีหน้าโจเซฟีนงงๆ แต่ก็ยิ้ม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายลาพวกเราไปอย่างอารมณ์ดี.......
.
.
ลาก่อนแม่หนูโจเซฟีน

อันดับที่ 3 ทำไมแม่ไม่รักหนู

ในวันที่รู้ว่าต้องทำไฟล์จากกรุงเทพไปยังเมืองหลวงแห่งหนึ่งในประเทศแถบแอฟริกา ผมถึงกับเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย
มันจะมีอะไรดีไปกว่าการต้องทำไฟล์ที่มีผู้โดยสารจีน ผู้โดยสารเวียดนาม และผู้โดยสารแอฟริกัน อยู่ร่วมกันในไฟล์นั้น
แค่คิดผมก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้ว

หารู้ไม่ว่าวันนั้นจะทำให้ผมถึงกับน้ำตาตกใน
เราบอร์ดผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามปกติ แต่ผมกลับเห็นเด็กผู้หญิงผิวสีผมหยิกขดเกรอะกรัง โดยมีผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นชาวแอฟริกาเป็นคนอุ้มแล้วผมจำได้
.
.
จำได้ว่าผมเจอพวกเขาที่สนามบินตอนเช็คอิน โดยมีหญิงชาวไทยมาส่ง แต่พวกเขาทะเลาะกัน หญิงคนไทยโยนลูกให้ชายผู้นั้นอุ้มก่อนจะตะคอกใส่ว่า

"เอากลับไปด้วยเลย กุไม่เอา" ภาพนั้นผมจำได้

ชายผู้นั้นนั่งประจำที่ และหลับโดยไม่สนใจผู้เป็นลูกอีกเลย

พอเราเสริฟอาหารเสร็จ ผมจัดแจงปิดไฟ หันไปอีกทีเกือบช๊อค เจอเด็กผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างหลัง
"ปวดฉี่" อ่าวชิหา....ย พูดไทยชัด
ก็ตามนั้น ผมก็ต้องอุ้มนังหนูนั่นไปฉี่ ฉี่เสร็จจะเอากลับมานั่งที่ เจ้าหล่อนไม่ยอม
"กลัว" น้องก็เลยเดินตามมานั่งกับเราในครัว

เราถามชื่อ ถามอายุ สรุปได้ว่า ชื่ออิดำ (แม่คงรักมากถึงตั้งชื่อแบบนี้) ชื่ออิดำจริงๆ ผมไม่รู้ว่ามาจากภาษาแอฟริกาอะไรหรือเปล่า แต่จะให้เรียก
น้องอิดำๆ ก็สงสาร เลยเรียกดำเฉยๆ
ดำอายุ 3-4 ขวบนิดๆ เกิดที่ไทยแถวบางกะปิ พูดไทยชัด เป็นเด็กไทยเลยล่ะ แล้วพูดภาษาพ่อไม่ได้เลย
น้องเล่าให้ฟังว่า แม่ให้มาอยู่กับพ่อ แม่ไม่ให้อยู่ด้วยแล้ว

ทุกครั้งที่ดำเล่า มันเป็นคำพูดซื่อๆง่ายๆ แต่สะเทือนใจยิ่งนัก
ดำจะเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น คือจะคอยกอดแข้งกอดขาลูกเรือทุกคน จะให้กอด ให้อุ้ม จู่ๆก็บอกหอมดำหน่อย
(นี่ก็อะไร โอ ขี้มูกเกรอะ เกรื้อนด้วย ก็ต้องเอาจมูกแตะๆน้อง สงสารน้อง) รักดำมั้ย ถามแบบนี้ตลอดเวลา

พอจะไปทำห้องน้ำดำก็งอแง นี่ก็ต้องอุ้มไปทำด้วย เพราะพ่อกินยานอนหลับหลับตายไปแล้ว
แล้วน่าแปลกที่ดำจะให้คนเอเชียอุ้มทุกคน แต่จะร้องไห้จ้าเวลาเจอคนผิวสี.......แบบเดียวกับดำ

ดำบอกดำกลัว แค่เดินผ่าน หรือมองดำ ดำก็ร้องไห้แล้ว ผมคิดในใจ ดำเอ้ย คือดำอ่ะเหมือนพวกเขานะลูก ดำไม่ต้องกลัว
แอบสงสารว่าจะไปอยู่ได้อย่างไรในเมื่อกลัวคนดำด้วยกันขนาดนั้น
ผู้โดยสารคนอื่นจะเอ็นดูดำ เพราะดำจะชอบถามไปทั่วว่ารักดำมั้ยๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจคือดำบอกว่า
แม่ไม่รักดำ แม่บอกว่าแม่ไม่รักดำ
แล้วน้องก็เงียบไปเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่พูด

"ทำไมแม่ก็ไม่รักดำ" ผมมองหน้ากับเพื่อนแอร์ ความรู้สึกจุกในลำคอบอกไม่ถูก ผมเล่าเหตุการณ์ที่สนามบินให้เพื่อนร่วมงานฟัง
ว่ามันเป็นมาอย่างไร ทุกคนต่างสงสารดำ และบอกกันว่าจะทำให้ไฟล์นี้ของดำมีความสุขที่สุด

เราจึงผลัดกันบอกรักดำทุกครั้งที่ดำเงียบ
"รักดำอ่ะ"
"รักดำจังเลย"
"โอ้ยดำน่ารัก"
คือใครผ่านไปผ่านมา เปิดม่านก็จะบอกรักดำ

ตลอดเวลา 10 ชั่วโมงดำไม่นอน ขลุกตัวอยู่กับพวกเราในครัว ผมไม่รู้ว่าหลังจากก้าวเท้าออกจากเครื่องไปแล้วดำจะเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยสิ่งเดียวที่พวกเราทำให้ดำได้คือ ให้ดำมีความสุขที่สุดในวันนี้

กัปตันแจ้งลดระดับเพื่อทำการลงจอด ผมอุ้มดำไปนั่งที่ ดำงอแง ไม่ยอม ผมจึงตัดสินใจปลุกผู้เป็นพ่อ ที่ลืมตาขึ้นมามองลูกตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะจับคาดเข็มขัดและบอกอย่าร้อง

แค่นั้นเองดำเงียบกริบ ผมรู้เลยว่าคงกลัวพ่อมาก

ประตูเครื่องเปิดออกผู้โดยสารทะยอยลงจากเครื่อง พ่อเก็บของและอุ้มดำ ทันทีที่อุ้มดำก็กรีดร้องขึ้นมาเหมือนรู้ตัวว่าต้องไปแล้ว
เสียงร้องดำมันบาดลึกมาก
ไม่ใช่เสียงร้องของเด็กงอแง
ไม่ใช่เสียงร้องของเด็กอยากได้ของ เรียกร้องความสนใจ หรือ หิวโหย

แต่เป็นเสียงร้องที่ขาดหายเป็นห้วงๆ ดำคงกลัว และคงคิดถึงแม่
"กลับบ้าน กลับบ้าน หาแม่ หาแม่"

ผมยืนอยู่ประตูสอง บอกลาผู้โดยสาร พร้อมกับยิ้มให้ดำอย่างร้าวๆ ดำคว้ามือผมหมับไม่ยอมปล่อย พร้อมกับบอกว่าจะกลับบ้านๆ
คุณเอ๋ย เหมือนในหนัง พ่อยื้อเด็ก เด็กยื้อผม มันเป็นภาพที่สะเทือนใจผมที่สุด แววตาดำ ที่มองผม มันเหมือนขอให้ช่วย แต่เราทำอะไรไม่ได้
ผมดึงมือกลับ พร้อมกับบอกลาดำด้วยคำพิเศษกว่าผู้โดยสารท่านอื่น

"รักดำนะ"
.
.
.
.
แล้วดำก็หายไปแต่เสียงร้องไห้ของดำ..............ยังก้องอยู่

อันดับที่ 2 ลูกแม่อยู่ไหน

บ่ายวันที่ 16 กันยายน 2007
จำได้ว่าฝนตกปรอยๆ ผมเดินซื้อของอยู่ในห้าง ทันใดนั้นก็มีข่าวสดเข้ามาว่าสายการบินที่ทำอยู่ไถลออกนอกรันเวย์
ตอนนั้นคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นอะไรมาก แต่เพื่อนโทรมาบอกถึงความเสียหาย
ตัวชา ไปหมด เดินกลับบ้านเกือบ 10 กิโลเมตร ตากฝน ไม่รู้ตัว
กลับมาถึงรับสายแค่คนเดียวจาก 100 สายที่โทรเข้ามาคือแม่ หลังนั้นก็ไม่รับของใครอีก

ผมช๊อคเพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดใกล้ตัวขนาดนี้ ตอนนั้นเปิดทีวีดูข่าว
และภาพข่าวที่ทำให้ถึงกับน้ำตาไหล คือภาพที่แม่เดินตามหาลูกในสนามบิน
"ลูกอยู่ไหน มีใครเห็นลูกแม่มั้ย" มันบอกไม่ถูก มันเศร้า ยิ่งรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นคือเพื่อนร่วมงาน ร่วมอาชีพ ยิ่งทำให้เศร้าไปอีก

ความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา จากทุกสารทิศ ทั้งพี่น้องร่วมอาชีพ ถึงจะเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทุกคนทุกสายการบิน
ต่างร่วมใจกันช่วยเหลือเต็มที่

ผมทำงานหลังจากเหตุการณ์สูญเสียนั้นไม่กี่วัน

จำได้ว่าวันนั้นต้องทำไปจังหวัดหนึ่งทางใต้ จากเดิมที่มีผู้โดยสารเต็มลำ แต่พอเกิดเรื่องผู้โดยสารเหลือแค่ไม่กี่สิบคน
บางคนก็ให้กำลังใจ
ถามไถ่ด้วยความหวังดี

แต่บางคนก็ใจร้ายมากถึงขนาดพูดว่า
"วันนี้จะตายอีกมั้ย"
"ตกอีกมั้ยวันนี้"
"วันนี้ตายกี่คนดี"
"นี่ก็มายืนยิ้มอยู่ได้"

จนน้องที่ยืนต้อนรับผู้โดยสารกับผมด้วยกัน ถึงขนาดทนไม่ไหว ต้องไปร้องไห้ในห้องน้ำ
วันนั้นผมโกรธ ยอมรับเลยว่าโกรธมาก แต่ก็อะไรไม่ได้นอกจากกล่าวสวัสดี และยิ้ม

เหตุการณ์วันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจ การสูญเสียไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจ แต่ผมจะไม่มีวันลืมว่า ครั้งหนึ่งเราได้สูญเสียเพื่อนร่วมงาน พี่น้องที่เรารู้จัก ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นน้ำใจจากเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกัน ครั้งหนึ่งพวกเราเคยร่วมฟันฝ่าอุปสรรค และผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นด้วยกันมา
และที่สำคัญผมจะไม่ลืมว่า เหตุการณ์วันนั้น สอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ


อันดับที่ 1 น้องดาวน์ของผม

ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับอะไร จะหนังซึ้ง หนังเศร้า ความรักใครดราม่า หรือหวานซึ้ง ไม่มี
ไม่เคยอิน

แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ทำให้ผู้ชายอย่างผมร้องไห้ได้คือ เด็กพิการซ้ำซ้อน เด็กดาวน์ เด็กออทิสติก
เรื่องราวอันดับ 1 นี้อาจไม่ค่อยประทับใจอะไรมากมายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนที่มีน้องชายที่เป็นแบบนี้อย่างผม ผมต้องยกให้เรื่องนี้เป็นที่ 1


วันนั้นผมมีผู้โดยสารเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง เป็นผู้โดยสารคนไทย แต่ต้องไปหาแม่ที่อยู่เมืองจีน น้องไปกับพี่เลี้ยงผู้ชายที่ไม่ค่อยจะใส่ใจน้องเท่าไหร่

น้องเป็นผู้ป่วยพิการซ้ำซ้อนที่ไม่รับรู้ ดูแลตัวเองไม่ได้นั่งๆน้ำลายไหลตลอด ผมต้องคอยซับให้
ทันทีที่ผมเห็น ผมก็คิดถึงน้องของตัวเองทันที ถึงจะไม่เป็นขนาดนี้ แต่ก็ทำให้สะเทือนใจไม่น้อย

แม่ผมจะปิดอู่อยู่แล้ว แต่ผมดันขอน้องเป็นของขวัญวันเกิด พอน้องเกิดมาไม่สมบูรณ์ มันจึงเป็นเหมือนว่าผมโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ผมรักน้องมาก มากถึงขนาดว่าคืนหนึ่งแม่ไปขายของที่งานวัด พาน้องพาเราไปด้วย และน้องโดนแกล้งให้เลียรองเท้า โดนเรียกว่าไอ่ปัญญาอ่อน
ผมปกติไม่สู้คนนะ 555 แต่ถ้าใครมาทำน้องกุ เมริงตาย!! สรุปคืนนั้นให้น้องขี่หลังกลับบ้านก่อนแม่พร้อมแผลปูดเต็มหน้า
อาบน้ำแต่งตัวเอาน้องเข้านอน ก่อนนอนก็อธิษฐานขอสลับร่างกับน้อง ร้องไห้เลย เพราะสงสารน้อง พูดวนๆอยู่แบบนั้นจนหลับไป ตลกดี
ตอนนั้นอยู่ป.4 น้องเพิ่งจะสองขวบ

เวลาพักเที่ยงผมจะวิ่งจากโรงเรียนมาหาน้องซื้อขนมใส่ถุงมาเอามาให้น้อง ส่วนตัวเองกินข้าวที่บ้าน มาเล่นกับน้องสักครู่ก็วิ่งกลับ
เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนครูนึกว่าเป็นวัลลี ตามสะกดรอยคิดว่าที่บ้านยากจน 555
ทำจนจบประถม มัธยมก็ทำ ยันมหาวิทยาลัย จนตอนนี้มาทำงานเวลาโทรหาแม่ก็จะถามหาน้องก่อน และก็ค่อยคุยกับแม่

พอเราเห็นผู้โดยสารเราเป็นคล้ายน้อง ผมรีบปรี่เข้าไปหา ทักทาย ไปเล่น คือเรารู้ว่าต้องเล่นกับเขายังไงเพราะเราเลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็ก
ผู้โดยสารของผมตาไม่โฟกัสแล้ว แต่เราก็คิดว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง

ผมทำงานเสร็จก็ใช้เวลาเล่นกับน้อง ถามไถ่อาการพี่เลี้ยงที่ดูว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ คงแค่พาน้องมาส่งแม่เฉยๆ
ผมจับมือน้องบีบนวด คลึงๆ มือน้องจะกำตลอดก็ต้องคอยคลายมือเค้า เพราะการเดินทางทำให้เค้าเคลียด

นี่นั่งชวนคุยเรื่องหมูหมากาไก่ น้องไม่รู้เรื่องหรอก บางทีก็หัวเราะออกมา ผมก็ดีใจแล้ว ทั้งๆที่เค้าแค่แสดงอาการบางอย่างเฉยๆ
บนไฟล์ก็ต้องคอยป้อนข้าวให้ เพราะพี่เลี้ยงเค้าดูยังไงก็ดูแลเด็กไม่เป็น ต้องคอยทำให้ดูว่าทำอย่างไร


ตอนน้องผม ผมมักถามตัวเองว่าทำไมน้องต้องเป็นแบบนี้ พอโตขึ้นเราก็เริ่มหาข้อมูล เริ่มไปลงพื้นที่  555 โชคดีที่บ้านมีแม่ มีพ่อ มีน้องชายอีกคนที่ก็รักน้องคนเล้กมากไม่แพ้ผม น้องผมจึงค่อนข้างได้ความรักเต็มที่

วันนั้นพอเครื่องลง พี่เลี้ยงจับน้องอุ้ม ซึ่งก็ผิดท่าผิดทาง แขนน้องฟาดกับเก้าอี้จนผมต้องดุให้เขาอุ้มน้องดีๆ

ผมมาส่งถึงประตูเครื่อง พอจะออกจากเครื่องน้องคว้ามือผม (อีกแล้ว) แล้วก็ทำเสียงอ้อแอ้ ที่สำคัญเขาสบตาผมด้วย คือทั้งไฟล์น้องจะไม่มองหน้าผมเลย ซึ่งก็เป็นปกติ แต่การสบตาของน้องวันนั้นมันมีความหมายกับผมมาก มันเหมือนเขารับรู้ เขามองเรา เขาเข้าใจเรา และอยู่ในโลกใบเดียวกับเรา น้องทำเสียงอ้อแอ้ด้วย ก็เลยคิดเอาเองว่าน้องเขาคงขอบคุณ แค่นั้นแหละครับ ลูกผู้ชายแมนๆอย่างผมวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยโฮเลยครับ ฮ่าๆ ร้องไห้กับเรื่องโคตรง่ายๆเลย

คิดถึงน้องตัวเอง สงสารน้องผู้โดยคนนั้นด้วย

แม่เคยว่าผมใจหิน หมาแมวตาย ตาเสีย ยายเสีย ปู่เสีย ญาติเสีย ใครเสีย ไม่เคยร้องไห้สักแอ่ะ ตั้งแต่เด็ก เค้าจะซึ้งจะเศร้ากันนี่เฉย

เสียใจนะครับ แต่มันร้องไห้ไม่เป็น

แต่พอนึกถึงน้อง นึกถึงคนป่วยแบบนี้ทีไรแล้ว ใจคอมันไม่ดีทุกที

วันนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพตาแดง จนต้องถูกไล่ไปอยู่ด้านหลัง พอถึงกรุงเทพ ก็รีบโทรหาแม่ และคุยกับน้องทันที

.
.
.

จริงๆ 10 ปี ในสายงานนี้ มีอะไรอีกมากมายที่ให้เล่าทั้งปีก็ไม่หมด ผมโชคดีที่ได้อยู่หลายสายการบิน ได้เห็นโลกหลายใบ
แต่ตอนนี้มันชักจะอิ่มตัว อยากอยู่กับที่บ้าง

คราวหน้าถ้าเดินทางอีกครั้ง ลองหาโอกาศคุยกับพวกแอร์สจ๊วตสิครับ ถ้าพวกเราว่าง พวกผมมีเรื่องเล่าสนุกๆให้ฟังเยอะเลย รับรองคุณจะไม่เบื่อกับการเดินทางเลยทีเดียว

เกลียแผลที่อยู่ในใจ, อำพล ลำพูน

เพลงนี้ประกอบละครชุดเลือดมังกร ตอน กระทิง ในบรรดาทั้งหมด 5 ตอน ชอบตอนนี้มากที่สุดเพราะมันดราม่า ให้ความรู้สึกว่าเป็นมาเฟียจริงๆ พี่เคนเป็นเจ้าพ่อที่โหดสมจริงมากกก ถ้าเทียบกับตอนสิงห์ของพี่ติ๊กนี่พี่ติ๊กมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกิงก่องแก้วไปเลย
เคยอ่านเจอว่าในหนังสือไม่ได้จบแบบในละคร คือพระเอกนางเอกไม่ได้ลงเอยกัน อันนี้ไม่แน่ใจว่าจริงรึเปล่าเพราะไม่ได้อ่านเวอร์ชั่นนิยาย แต่ในละครคงทำเอาใจผู้ชม เพราะตอนสุดท้ายพระเอกนางเอกก็เหมือนจะได้ลงเอยกัน
เพลงนี้เป็นเพลงที่ชอบที่สุดเพลงนึงในชุดเพลงประกอบละครเรื่องนี้เพราะเนื้อหามันช่างบาดใจเหลือเกินนนนน แงงงงง


ผิดเองที่ฉัน ไว้ใจเธอจนมากไป 
ไม่คิดเลยว่าเธอจะทำร้าย
ทั้งที่ฉันรักเธอ หมดชีวิตก็ให้เธอได้ 
นี่หรือคือการตอบแทน

หลอกกันให้รัก แล้วก็ไปอย่างง่ายดาย 
เหลือเพียงความทรงจำที่โหดร้าย
ไหนว่ารักกันจริง จะไม่ทิ้งฉันสาบานได้ 
สุดท้ายก็ลวงหลอกฉัน

เกลียดแผลที่อยู่ในใจ จะลบมันไปยังไง
เสียใจที่โดนหักหลังอย่างนี้
เกลียดแผลที่อยู่ในใจ ไม่รู้เมื่อไรจะลืมสักที
ต้องรออีกนานเท่าไหร่ บาดแผลที่กลางหัวใจจะลบเลือน
(ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ตัวฉันจะมีหัวใจแกร่งเหมือนเดิม)

บทเรียนครั้งนี้ ซื้อด้วยใจที่ฉันมี 
ถือมันเป็นราคาความปวดร้าว
เพราะรักมากเกินไป จึงไม่คิดว่ารักของเรา 
จะต้องลงเอยอย่างนี้
อัพโหลดเพลงเวอร์ชั่นพี่หนุ่ย อำพลจากยูทูปไม่ได้ อัพได้แต่ cover version เซ็งเลยยย ไม่อัพก็ได้ เชอะะ






Singapore Day 3

อย่างที่บอกค่ะ วันนี้ท่อง universal studio ทั้งวัน เอาให้คุ้มค่าตั๋ว 62 SGD ที่ซื้อมาจาก china town ขอบอกไว้ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้าเป็นสายโหด ชอบเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวชวนอ้วกทุกชนิด

ตรงดิ่งจากทางเข้าจะเจอลูกโลกหมุนได้ สัญลักษณ์ของ universal ก็หยุดถ่ายรูปกันตามระเบียบค่ะ ตรงเข้าไปจะเป็นโซน holly wood ตรงนี้เป็นร้านขายของที่ระลึก มีร้านอาหารจีนด้วย โซนนี้เน้นถ่ายรูปอย่างเดียวค่ะ ไม่มีเครื่องเล่นอะไร พอถึงทางแยกเราต้องเลือกค่ะว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา มาครั้งที่แล้วเราเลี้ยวไปทางซ้ายค่ะ คราวนี้เลยขอเลี้ยวขวาก่อนบ้าง จากข้อสังเกตของเรานะคะ เลี้ยวซ้ายจะเป็นโซนของสายแบ๊ว เป็นโซน far far away เจ้าหญิงเจ้าชาย มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกันไป แต่ถ้าเลี้ยวขวาผ่านโซน new york จะเป็นโซนที่ชื่อว่า sci-fi ค่ะ อันนี้ทางของสายโหด เครื่องเล่นหวาดเสียวจัดเต็ม !

อย่างที่บอกค่ะ เราสายโหด เลี้ยวขวามาก่อนเลย เครื่องเล่นเด่นๆที่แนะนำสำหรับสายโหดแบบห้ามพลาดเลยคือ roller coaster ค่ะ ก่อนเล่นต้องไปฝากของทั้งหมดที่ล็อกเกอร์ให้เหลือแต่ตัว ฝากฟรีค่ะ ที่นี่มี 2 สายคือสายสีน้ำเงินกับสายสีแดง สายทีแดงเค้าเรียกว่า human ค่ะ คือสายมนุษย์ อันนี้เล่นพอเสียวค่ะ เรากับพี่ชายไม่ได้คิดว่าโหดอะไรมากมาย แต่อีก 2 สาวที่ไปด้วยกันนั้นแทบอ้วก 5555 สายสีแดงนี้ยังมีฐานให้วางเท้าอยู่ค่ะ แถมไม่ได้เหวี่ยงแบบกลับหัวอะไรด้วย แค่โค้งมากและเร็วเฉยๆ คิวยาวและรอนานเล็กน้อย อีกสายเป็นสายสีน้ำเงินเรียกว่า cylon คือไม่ใช่มนุษย์ ส่วนตัวคิดว่าอันนี้แหละคือไฮไลท์ คุณค่าที่สายโหดคู่ควร ห้อยขากลางอากาศ กลับหัว 3 ตลบ มุดลอดพื้น เหวี่ยงเร็วและแรงมาก สะใจโคตรรรรร ! ไป universal แล้วไม่เล่นตัวนี้ถือว่าไปไม่ถึงนะพูดเลย !! สังเกตว่าสายนี้ไม่ค่อยมีคนเล่นค่ะ รอแปบเดียวได้เล่นเลย 5555  

เครื่องเล่นอีกตัวที่แนะนำคือ transformer ค่ะ อันนี้ก็จัดว่าห้ามพลาดเหมือนกัน จุดเด่นของเค้าคือระบบ 4D ค่ะ มีแว่นให้ใส่ขณะเล่น เราจะได้ขึ้นไปนั่งรถที่จะพาเราหลบหนีท่ามกลางสมรภูมิการต่อสู้ค่ะ ก็เหวี่ยงไปมาตามแบบเครื่องเล่น แต่ภาพที่เราได้เห็นผ่านระบบ 4D เป็นอะไรที่ควรค่าแก่การไปสัมผัสจริงๆเพราะมันสมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจมาก

มาต่อกันที่โซน egypt ค่ะ ตัวนี้คิดว่าคล้ายๆ transformer เพียงแต่เปลี่ยนเป็นบรรยากาศจากหนังเรื่อง the mummy เท่านั้น ตัวนี้ต้องเล่นค่ะ จัดไปอย่าให้เสียเหมือนกัน

หลังจากเล่น egypt ก็กินข้าวในห้องอาหารโซน jurassic park ที่อยู่ใกล้ๆกันค่ะ ไม่แน่ใจว่าทุกโซนที่นี่จะมีห้องอาหารเป็นของตัวเองรึป่าว อันที่จริงโซน egypt มีห้องอาหารนะคะ แต่เป็นแนวอาหารแขก เพื่อนร่วมทริปของเราไม่ปลื้มเลยย้ายมากินที่โซน jurassic ค่ะ สั่งข้าวไก่ย่างกับอะไรสักอย่างคล้ายๆมัสมั่นไก่ไป ราคาชุดละ 11.5 SGD ถือว่าสูงแต่ก็เข้าใจว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถึงอย่างนั้นก็ปริมาณสมราคานะคะ ได้เยอะแบบชุดเดียวอิ่มค่ะ มีของหวานเป็นเยลลี่ผลไม้ให้ด้วย เย็นๆหวานๆ ชื่นใจมากทีเดียว ;)

เครื่องเล่นหลักๆที่แนะนำว่าห้ามพลาดในฝั่งสายโหดก็มีเท่านี้ค่ะ ส่วนโซนสายแบ๊วแนะนำให้ไปดูหนัง 4D เรื่อง Shrek ที่โซน far far away เท่านั้นแหละค่ะ

เดินกันทั้งวันจนทั่วก็พอดดีกับเวลาปิดสวนสนุกพอดี เราตกลงกันว่าจะกลับไปหาอะไรกินแถวที่พักแล้วเข้านอนกันเลยเพราะเหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ ที่สำคัญคือขาไปต่อไม่ไหวแล้วค่ะ ลากกันมากก T-T

ปล. ร้านใกล้ๆที่พักอร่อยใช้ได้ทีเดียวค่ะ สังเกตว่าบางร้านที่เป็นห้องอาหารแบบห้องแอร์ที่นี่ไม่ได้แพงเสมอไปนะคะ เช่นร้านที่เราทานวันนี้เป็นต้น ราคาแบบร้านอาหารแต่จานเสิร์ฟใหญ่มาก คือปริมาณคุ้มกับราคา เราไปกัน 4 คนสั่งมา 5 อย่าง ปรากฏว่าเหลือทั้งๆที่หิวมาก เพราะจานก็ใหญ่มากเช่นกัน เสียดายแต่ไม่ได้ห่อ ไม่รู้จะเอาไปทานต่ออีกมื้อยังไงค่ะ T-T

ปล. อีกที วันที่ 4 วันสุดท้ายขอไม่เขียนแยกโพสแล้วนะคะ เพราะตื่นมาก็ไปซ้ำข้าวมันไก่ร้านลุงที่ maxwell food center แล้วก็ขึ้น mrt ไปสนามบินเลย

Singapore Day 2

วันนี้ตื่นไม่เช้ามากค่ะ เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน แถมยังเพลียจากการเดินทางอีก กว่าจะออกเที่ยวก็ 9 โมง

ช่วงเช้าเราแพลนกันว่าจะเที่ยววัดใน china town นั่นแหละค่ะ ก่อนไปก็ต้องหาไรกินกันก่อน เดินไปที่ร้านดังของย่าน china town จากที่พักเลยค่ะ ไม่ไกลเลย ชื่อร้าน takpo เมนูเด่นๆที่เค้าขายก็มีโจ๊กกับติ่มซำค่ะ โจ๊กเฉยๆ แต่ติ่มซำที่สั่งมาอร่อยทุกอย่างเลยยย แนะนำให้จัดซาลาเปาไส้ไหลค่ะ ลาวาไข่แดงเยิ้มๆ ละลักเลยทีเดียวเชียว แนะนำให้ทานตอนร้อนๆนะคะ เพราะถ้าเย็นแล้วไส้ขะไม่ไหลค่ะ เสียรสชาติไปหน่อยนึง อีกตัวที่ไม่ควรพลาดคือพายหมูแดงค่ะ แป้งกรอบบบบ ไส้กลมกล่อม คือดีมากกกก ตั้งใจจะซื้อกลับบ้านด้วยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป แงงงงง

หลังจากมื้อเช้าอิ่มหนำดีแล้วเราก็ไปกันที่วัด tooth relic buddha temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว อันนี้ก็เดินไปต่อเหมือนกันเพราะอยู่ใกล้ๆกันเลย วัดนี้ขาสั้นแขนกุดเข้าไม่ได้นะคะ แต่เค้ามีผ้าถุงให้ยืมฟรีค่ะ ไม่ต้องห่วง ส่วนวัดอื่นไม่รู้เหมือนกันค่ะ เราไปไหว้พระกันตามสเต็ปที่ชั้นล่าง ส่วนชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระทนต์ของพระพุทธเจ้า เป็นที่มาของชื่อวัดนั่นแหละค่ะ พอไปไหว้ที่ชั้น 4 เสร็จก็เกือบจะกลับกันแล้วเชียว โชคดีที่เจอไกล์คนไทย เค้าบอกให้เดินขึ้นบันไดต่อไปที่ชั้น 5 ค่ะ ชั้นนี้มรสวนแล้วก็กงล้ออธิษฐานตามความเชื่อของธิเบต ไปสิงคโปร์มา 2 ครั้ง ไปไหว้พระที่วัดนี้ทั้ง 2 ครั้งแต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีชั้น 5 เพราะลิฟต์มีถึงแค่ชั้น 4 เท่านั้น โชคดีมากที่เจอไกด์คนนี้ ขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ เดินขึ้นไปก็เจอสวนอย่างที่ไกด์บอก ร่มรื่นทีเดียวค่ะ ตรงกลางสวนเป็นอาคารที่ภายในมีกงล้ออธิษฐาน จะอธิฐานอะไรก็หมุนกงล้อวนไปค่ะ





รูปข้างบนคือชั้น 5 อันลึกลับของวันนี้ค่ะ ที่เห็นวางมืออยู่นั่นคือกงล้ออธิษฐานค่ะ 

หลังจากจบทัวร์วัดเราก็ไปทัวร์ห้างต่อค่ะ ถนน orchard อันเลื่องชื่อของขาช้อป พอขึ้นจาก mrt มาก็เชื่อมต่อกับห้างเลย และเป็นแบบห้างเชื่อมห้างด้วย ไม่ต้องออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว หากจะมาช้อปที่สิงคโปร์ แบรนด์ที่พลาดไม่ได้จริงๆคือ charles and keith ค่ะ เพราะถูกกว่าที่ไทยมากๆ ส่วนตัวไม่ได้ซื้ออะไรแต่อีก 2 สาวจัดไปเบาๆกระเป๋ากับแว่นตาค่ะ เดินห้างอยู่ 2-3 ชั่วโมงก็ไปถ่ายรูปกันต่อที่ merlion ตัวน้อยที่ยืนพ่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ค่ะ ลง mrt สถานี raffles place แล้วต้องเดินต่ออีกพักนึงเลยทีเดียว ช่วงที่เราไปถึงประมาณบ่าย 4 โมง แดดร้อนมากกกก แต่ก็ถ่ายรูปออกมาสวยมากเช่นกันเพราะว่าแสงดี หลังจากแชะภาพเป็นที่ระลึกเสร็จก็เดินข้ามฝากโดยผ่านสะพาน helix ไปเพื่อไปดู super trees ที่ gardens by the bay เป็นการเดินที่ไกลมากกกก ร้อนมากกกก พอเข้าห้างเท่านั้นแหละ สวรรค์ ! ขอบคุณผู้ประดิษฐ์แอร์คอนดิชั่นมา ณ ที่นี้ค่ะ นั่งตากแอร์ทานข้าวเย็นกันสักพักก็รีบไปจับจองที่เพื่อดูการเล่นไฟของ super trees แนะนำให้ไปก่อนเวลาแสดงสักครึ่งชั่วโมงนะคะเพราะควรจะไปจองที่นอนใต้ต้น super trees ค่ะ เพราะถ้าไปช้าจะไม่มีที่ให้นอนดูค่ะ ต้องนอนกับพื้นเลย ที่นี่ทุกอย่างตรงเวลาค่ะ พอถึงเวลาปุ๊ปก็เริ่มแสดงปั๊ป




รูปข้างบนคือโฉมหน้าเพื่อนร่วมทริปค่ะ ขาดคนถ่ายไป 1 คน ที่นั่งอยู่คือใต้ต้น super trees นะคะ จองที่ก่อน ถ้าไปช้าจะได้นอนพื้นที่คนเดินๆกันอยู่ที่เห็นในรูปค่ะ ที่นั่งนี้กว้างทีเดียวค่ะ อย่างที่บอกว่านอนได้เลย




รูป super trees ใกล้เวลาแสดงค่ะ ตึกที่เห็นมุมซ่้ายคือโรงแรมมาริน่าเบย์รูปเรือใบที่เป็นส่วนหนึ่งของการเล่นไฟร่วมกับ super trees ด้วยค่ะ




รูป super trees แบบโคลสอัพค่ะ จะเริ่มเล่นไฟกันแล้ว สวยงามทีเดียวค่ะ ที่สำคัญคือทั้งหมดนี้ฟรีค่ะ ดูฟรี ใครมีโอกาสไปสิงคโปร์แนะนำว่าไม่ควรพลาดนะคะ ถือว่าเป็นของฟรีที่มีคุณภาพทีเดียว :)

ดู super trees จบก็ขอแก้มือจากเมื่อวานที่ไปดูน้ำพุแล้วไม่เห็นการแสดงอะไรเลย มีแต่น้ำกระเด็นใส่หน้า วันนี้เราเลยไปปักหลักกันที่อีกฝั่งของแม่น้ำโดยหวังว่าจะเห็นการแสดงแบบชัดเจน แต่สรุปคือ fail เหมือนเดิมค่ะ เพราะระยะมันไกลเกินไป เห็นไม่ค่อยชัด ฟังก็ไม่ค่อยถนัด สรุปคืองงว่าไอ้การแสดงน้ำพุตัวนี้มันต้องไปปักหลักดูตรงส่วนไหนกันแน่ -_-

เพื่อลดความ fail ต้องกินค่ะ กินๆๆๆ เราไปหาอะไรกินที่ตลาดโต้รุ่งซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสะเต๊ะ จัดไปอย่าให้เสียค่ะ แต่เห็นราคาแล้วแอบสะดุ้ง ชุดสำหรับ 2 คน ราคา 39 SGD ประมาณ 900 บาทไทย มีกุ้งเผาและสะเต๊ะเนื้อกับสะเต๊ะไก่ค่ะ ก็อร่อยอยู่นะคะ รสชาติติดจะหวาน ชอบสะเต๊ะไทยมากกว่าค่ะ ถูกกว่าเยอะด้วยประเด็น 5555555

อิ่มหนำสำราญแล้วก็กลับไปนอนค่ะ วันนี้อาการเมื่อยเริ่มสำแดงเดช ระบมกันถ้วยทั่วทุกตัวคนเลยทีเดียว พรุ่งนี้ยิ่งโหดค่ะ เพราะแพลนไป universal studio เดินทั้งวันแน่นอน 




Singapore Day 1

จากโพสที่แล้วที่เครื่องดีเลย์ไป 7 ชั่วโมง ขอบอกว่าแผนพังค่ะ พังหมดไม่เหลือชิ้นดี ไม่เหลืออะไรเลยยยย แหลกสลายลงไปกับตาาาา ปราสาททรายในสายฝนเลยค่ะ

จากเดิมที่วางแผนว่าจะถึงที่พักประมาณบ่ายโมงกลายเป็นว่ากว่าจะถึงก็ปาเข้าไปสองทุ่ม กว่าจะเอาของไปเก็บเสร็จออกมากินข้าวก็ดึกแล้วค่ะ สรุปวันนั้นเลยได้แค่นั่ง mrt ไปดูวิวและการแสดงแสงสีเสียงของน้ำพุที่ marina bay เราไปนั่งฝั่งเดียวกับการแสดงน้ำพุค่ะ คือนั่งหลังน้ำพุที่แสดง ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ สรุปคือวันนี้มีแต่เรื่อง fail จริงๆ

จะมีดีบ้างก็ตรงที่พักกับร้านข้าวมันไก่นี่แหละค่ะ

เริ่มกันที่ๆพักก่อน ทริปนี้มีแต่คนหนุ่มสาว ชาย1 หญิง3 เราจึงเน้นเที่ยวแบบ backpacker ซึ่งหาความสบายมิได้ ฮ่าาาาาาาาาาา ที่พักจึงตกลงกันว่าจะพักแบบ hostel ซึ่งราคาจะถูกกว่าพักโรงแรม แต่ก็แล้วแต่ที่นะคะ บางโรงแรมเก่าๆ เดินทางลำบาก แต่ราคาถูกก็มี

Hostel ที่เราพักนี้ชื่อว่า Beary Best Hostel ค่ะ จุดแข็งอย่างแรงของที่นี่คือสถานที่ค่ะ อยู่ย่าน china town ที่คึกคักและเด่นเรื่องของกิน (อันนี้ประเด็นหลัก ฮี่ฮี่) เดินทางสะดวกมากกกกก (ก. ไก่ล้านตัว) เพราะขึ้นจาก mrt สาย china town ทางออก F ข้ามถนนมาจึ๋งนึงก็ถึงที่พักเลย อันนี้ดีงามมากจริงๆ เพราะการเที่ยวแบบ backpacker นั้น ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องที่ลำบากที่สุดคือการแบกสัมภาระ เพราะฉะนั้นที่พักยิ่งเดินทางสะดวกยิ่งดีค่ะ เพราะจะได้ไม่ลำบากแบกสัมภาระมาก

หาเสียหายที่จ่ายไปคือคนละพันนิดๆต่อคืน ไม่ได้ถูกมากมายอะไรเพราะเราเลือกพักแบบนอนห้องละ 2 คน 2 ห้อง จะมีคืนสุดท้ายที่นอนรวมกัน 4 คนเพราะห้องไม่ว่าง เราจองช้าไปค่ะ คืนสุดท้ายต้องขนกระเป๋าไปนอนชั้น 4 ไต่บันไดขึ้นไป เหนื่อยมากกก ทาง hostel ไม่มีลิฟต์อยู่แล้วค่ะ อันนี้ทำใจไว้อยู่แล้ว ส่วนห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม มี 2 โซนในแต่ละชั้น คือห้องโซนแรกเป็นห้องน้ำหญิง อีกโซนเป็นห้องน้ำรวม เข้าได้ทั้งหญิงและชาย แต่เท่าที่อยู่มา 3 คืน เหมือนห้องน้ำจะแยกหญิงชายไปโดยปริยายเลยค่ะ คือผู้หญิงก็เข้าแต่ห้องน้ำหญิง ไม่เห็นใครไปเข้าฝั่งห้องน้ำรวมนะ ฝั่งนั้นเลยกลายเป็นห้องน้ำชายไป เรื่องความสะอาดก็โอเคนะคะ ไม่ได้สกปรกอะไร อยู่ในสภาพใช้การได้ สตาฟดูแลดีอยู่ค่ะ

รูปข้างล่างคือที่พักตลอดการเดินทางนี้นะคะ เครดิตตามภาพเลยค่ะ ไม่ได้ถ่ายมา





ต่อไปจะรีวิวร้านข้าวมันไก่ที่ maxwell food center ค่ะ ฟู๊ดเซ็นเตอร์นี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อยและราคาไม่แรง (ถึงไม่แรงแต่ก็เรตสิงคโปร์แหละค่ะ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าค่าครองชีพสูงระดับต้นๆของโลก -_-) ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ แต่เป็นร้านแรกใกล้กับทางเข้าเลยค่ะ เลยร้าน tian tian ไปไม่กี่คูหา จริงๆข้าวมันไก่ที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือร้าน tian tian นะคะ แต่คืนที่ไปถึงเราหิวกันมากกกก และนี่ก็เป็นร้านแรกที่เจอ ลุงเจ้าของร้านพูดไทยใส่อีก เป็นคนสิงคโปร์ที่พูดไทยเก่งมาก คล่องมาก ชัดมาก เราเลยกินร้านนี้เลย แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ อร่อยมากจริงๆ ตอนนั้นคิดว่าเพราะกิวมากเลยอร่อย แต่วันที่จะกลับไทยไปกินกันอีกรอบก็ยังอร่อยเหมือนเดิม เลยสรุปว่าร้านนี้อร่อยจริงค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะวันแรกที่ไปหิวมากกก ส่วนวันสุดท้ายที่กลับก็รีบมากกกก 55555555 
ลุงจะถามเรานะคะว่าจะสั่งแยกเป็นจานๆหรือสั่งไก่จานใหญ่แล้วแยกข้าวมากินด้วยกัน แนะนำแบบหลังค่ะ ถูกและได้เยอะ ลุงจะคำนวนให้เราเองค่ะว่ากี่คนเหมาะกับไก่ประมาณไหน ราคาก็จะต่างไปตามจำนวนคน สังเกตว่าคนละ 5 เหรียญนะคะ ไปกิน 2 ครั้ง ราคานี้ทั้ง 2 ครั้ง แนะนำค่ะ  

ปล. ร้าน tian tian อร่อยจริงมั้ยไม่รู้นะคะเพราะไม่ได้ลอง แหะแหะ



รีวิวสยามแอร์ไปสิงคโปร์

หายไปนานหลายวัน ไปเที่ยวมาค่ะเลยไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรเลย เพิ่งกลับมาเมื่อวาน ถึงคอนโดช่วงบ่ายๆได้ หลับเป็นตายเหมือนถูกทุบหัว ทริปนี้ไปเที่ยวสิงคโปร์มา 4 วัน 3 คืน บินกับสายการบินสยามแอร์ ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้าย !

(ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปสิงคโปร์รอบที่ 3 ค่ะ คงพอแล้วสำหรับประเทศนี้ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆสร้างขึ้นแล้วดึงดูดให้ไปอีกนะคะ ฮ่าๆๆๆ)

อันนี้โทษตัวเองล้วนๆ เห็นแก่ของถูก ไป-กลับ 3,000 บาท รวมน้ำหนักกระเป๋า 15 กิโล แถมเวลาบินยังดีมากกกกก คือถึงสิงคโปร์ช่วงเช้าทำให้มีเวลาเที่ยวอีกทั้งวัน นั่งคิดก็แล้ว นอนตะแคงคิดก็แล้ว เอาเท้าก่ายหน้าผากคิดก็แล้ว ยังไงก็น่าจะลองเสี่ยงดูสักตั้งล่ะเอ้า !
แล้วเป็นไงล่ะคะ ขาไปดีเลย์ไป 7 ชั่วโมงค่ะ ทางสายการบินแจ้งว่าเนื่องจากสภาพอากาศอันเลวร้ายที่มาเก๊า เอ้าาา งงล่ะสิ จะบินไปสิงคโปร์แล้วมาเก๊ามาเกี่ยวอะไรด้วย คืองี้ค่ะ เท่าที่ทราบมา สายการบินมีเครื่องบินทั้งหมด 4 ลำ ใช้บินไปบินมาอยู่แถวนี้แหละ รูทส่วนใหญ่ก็ไปจีน ละก็มีสิงคโปร์กับมาเก๊า
ทีนี้ เมื่อเครื่องมีน้อยและใช้บินวนไปวนมา เมื่อเครื่องดีเลย์อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งก็จะทำให้ดีเลย์ตามๆกันไปเป็นลูกโซ่เพราะต้องใช้เครื่องต่อกันนั่นเอง

ขาไปล่อ 7 ชั่วโมงใสๆ ขากลับก็ใช่เล่นค่ะ ชั่วโมงครึ่งเบาๆ แต่อีขากลับนี่แหละมีเหตุให้ระทึก คือสายการบินสยามแอร์นี่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องเดียวกับสายการบินโอเรี้ยนท์ไทย ใช่ค่าาา ที่เครื่องตกที่ภูเก็ตนั่นแหละค่ะ T-T

ความรู้สึกแรกที่ขึ้นไปบนเครื่องทั้งขาไปและขากลับ สัมผัสได้เลยว่าเครื่องเก่ามากกกกก (ก. ไก่ล้านตัว) เก่าขนาดไหนน่ะรึ ก็ชนิดที่ว่าขาไปที่นั่งอิชั้นติดริมหน้าต่างและมีแสงแดดเจิดจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน แต่หน้าต่างเครื่องบินมันปิดลงไม่ได้เพราะเก่านั่นแหละค่ะ เคบินที่น่าจะเคยขาวๆในอดีต สภาพที่เห็นคือเหลืองน่ะค่ะ เหลืองเพราะผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน

มาต่อกันที่ความระทึกขากลับค่ะ มันเริ่มแปลกๆตั้งแต่เอาแอร์ฝึกงานขึ้นเครื่องมาต้อนรับผู้โดยสารละ ที่รู้ว่าเป็นแอร์ฝึกงานเพราะตอนขึ้นเครื่องพนักงานคุยกันเป็นภาษาไทยค่ะ แอร์รุ่นพี่ยืนสอนและกำกับน้องอยู่ รวมทั้งเครื่องแบบที่ใส่ก็ต่างกันด้วยค่ะ และขณะที่แอร์ฝึกงานสาธิตการใช้อุปกรณ์เซฟตี้ เธอสาธิตไม่ตรงกับที่แอร์อีกคนกำลังพูดด้วยค่ะ มือก็สั่น คงจะตื่นเต้น น่าเห็นใจ ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่น่าให้ขึ้นบินค่ะ อีกเรื่องคือสังเกตเห็นว่าบริเวณที่นั่งด้านหน้าสุดของเครื่องติดกับห้องนักบิน มีช่าง maintenance เครื่องขึ้นมากับเที่ยวบินนี้ด้วยค่ะ ที่ทราบเพราะช่างใส่ชุดและตราบริษัทที่บอกตำแหน่งอยู่ นาทีนั้นรู้สึกสงสัยอย่างแรงว่าทำไมช่างต้องขึ้นมาด้วย พอใกล้จะถึงดอนเมือง ช่วงที่จะเอาเครื่องลง รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเครื่องส่ายหนักมาก โชคดีที่สุดท้ายแล้วเครื่องแตะรันเวย์อย่างปลอดภัย งานนี้ขอชมนักบินนะคะว่าขนาดเครื่องส่ายยังสามารถเอาเครื่องลงได้นิ่มพอสมควรเลยทีเดียว พอถึงดอนเมืองก็ถึงบางอ้อเรื่องช่างค่ะ เพราะหลังจากที่ผู้โดยสารลงจากเครื่องหมดแล้ว ช่างก็ไปสำรวจบริเวณไอพ่นที่ปีกเครื่องทันที ตรงนี้เห็นจากกระจกเมื่อเดินขึ้นมายังตัวอาคารแล้วค่ะ งานนี้รู้เรื่องค่ะว่าเครื่องมีปัญหาแต่ก็ยังเสี่ยงบิน เหตการณ์นี้เข้ากันกับสถานณการณ์ที่เครื่องดีเลย์ตอนอยู่สิงคโปร์ด้วยค่ะ เพราะตอนนั้นเห็นแล้วว่าเครื่องมาถึงสนามบินตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมให้ผู้โดยสารขึ้นจนดีเลย์ไปชั่วโมงครึ่ง เดาว่าคงเช็คเพราะเครื่องมีปัญหานั่นแหละค่ะ

จบสำหรับการรีวิวสยามแอร์ค่ะ บอกเลยว่าระทึกหนักมาก ครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายจริงๆ !

กาลครั้งหนึ่ง, แสตมป์-ปาล์มมี่

ขอจัดเพลงของแสตมป์ติดๆกันไปเลย ฟังเพลงนี้ก็ร้องไห้เหมือนกัน ร้องเหมือนตอนฟังเพลงความคิดเลย แต่โดยส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาเพลงนี้ซึ้งกว่า และเป็นอะไรที่ฟังแล้วทั้งรู้สึกดีและเศร้าไปพร้อมๆกัน
ปล. ฟังอยู่ตอนนี้ก็ร้องไห้ไปด้วยนะ 5555T55T5555





กาลครั้งหนึ่ง การพบใครคนหนึ่งทำให้ฉันสุขใจ
กาลครั้งหนึ่ง ทุกช่วงเวลาเราเคยมีกันใกล้ๆ
แต่กาลครั้งหนึ่ง สุดท้ายไม่จบตรงชั่วนิรันดร์เสมอไป
กาลครั้งหนึ่ง ชีวิตเลือกเส้นทางให้เรามีอันต้องไกล

เรื่องราวของฉันเดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล
เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านี้
แต่ในวันที่ฝน ร่วงจากฟ้า วันที่มองหาใครก็ไม่มี
วินาทีนั้นจะมีบางอย่างที่สำคัญ เกิดในใจฉัน

กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน

เรื่องราวชีวิต เดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล
เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านั้น
แต่ในคืนเหน็บหนาว เกินจะต้านทาน
คืนที่ความเหงา เข้ามาฉับพลัน
คืนนั้นจะมีความรู้สึกพิเศษและสำคัญ ปรากฏในใจฉัน

กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน

ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน

ฉันจะอยู่ โดยที่รู้ว่าทุกนาทีนั้นแสนพิเศษ
ฉันจะทำ (ฉันจะทำ) ทุกๆ สิ่ง (ทุกๆ สิ่ง)
ให้เธอภูมิใจเมื่อได้เห็น

เธออยู่ตรงนั้นสบายดีไหม
ฉันอยู่ตรงนี้เป็นเหมือนเดิม
คิดถึงเธอทุกวัน (คิดถึงเธอทุกวัน)
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง
สักวันเราคงได้พบกัน

ความคิด, แสตมป์

เพลงนี้เป็นเพลงที่ร้องไห้ทุกครั้งเวลาฟัง ถ้าไม่ถึงขั้นร้องก็น้ำตาซึมหนัก เนื้อหามันบาดลึกจริงๆ T^T
ยิ่งสมัยหลายปีก่อนเมื่อนานมาแล้วที่เพิ่งเลิกกับแฟนใหม่ๆ อู้หูวววว ฟังแล้วเจ็บที่ขั้วหัวใจดีจัง 5555




ยังเดินผ่านทุกวัน
ที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน
ยังจำซ้ำๆ ได้ทุกตอน
ราวกลับมีใครมาหมุน ย้อนเวลา

แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด
ในชีวิตจริง คงไม่เจอกันอีกแล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีวี่แวว
เธอจากไปแล้ว และคงไม่ย้อนคืนมาหา

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

อยากเจอเธอเหลือเกิน
เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง
ฉันมีความคิดหลายๆ อย่าง
หลายอย่างเหลือเกิน ที่ฉันไม่ได้พูดไป

แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้
ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล
หากเธอนั้นยังอยู่ จะกอดเธอให้ชื่นใจ
และค่อยพูดออกไป ทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน

น้ำตานางฟ้า, จามรี พรรณชมพู



อย่างที่เคยเกริ่นว่าเรื่องนี้เป็นนิยายรักเรื่องแรกที่อ่านสมัยเป็นวัยรุ่น และเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ประทับใจมาถึงทุกวันนี้ มันโรแมนติก มันเจ็บปวด มันตราตรึง เมื่อวานอ่านรวดเดียวจบไปเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นเรื่องบนชั้นหนังสือที่ถูกหยิบมาอ่านซ้ำเรื่อยๆ

อัปสรสินี เทพมนตรีเป็นลูกสาวนักธุรกิจเจ้าของบ้านไร่ที่กำลังจะหมั้นกับทรงศักดิ์ อัศวศักดิ์ ทายาทนักธุรกิจหนุ่มผู้ร่ำรวยอยู่แถวหน้าของเมืองไทย แต่ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดเมื่ออัปสรสินีกลับไปอยู่บ้านไร่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่บ้านไร่ของเธอมีจิตรกรหนุ่มาขออาศัยอยู่ชั่วคราวเพื่อเขียนภาพทิวทัศน์ภายในไร่ จามร สกุณาถูกมองในฐานะจิตรกรไส้แห้งตระเวนเขียนรูปไปวันๆ ณ บ้านไร่แห่งนี้ อัปสรสินีได้รู้จักกับความรักเป็นครั้งแรกก็ด้วยความรักที่มีต่อจามร ที่ผ่านมาเธอได้เห็นกระจ่างแล้วว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีต่อทรงศักดิ์นั้นเป็นความรู้สึกดีครึ่งเพื่อนครึ่งพี่เท่านั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนามากขึ้นเมื่ออัปสรสินีตัดสินใจเป็นแบบเขียนภาพเหมือนให้จามร ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้การจับตามองของอังคณา มารดาของอัปสรสินีที่หัวสูงและชอบทรงศักดิ์ที่เป็นทายาทมหาเศรษฐี ความรักของทั้งคู่พังทลายลงเพราะอังคณา อัปสรสินีชอกช้ำตรอมใจเจียนตายกว่าที่สุดท้ายแล้วความจริงจะเปิดเผยว่าที่จามรหนีหน้าหายตัวไปนั้นเป็นเพราะอังคณาสร้างเรื่องให้ทั้งคู่เข้าใจผิดกัน และเมื่อสุดท้ายแล้วอังคณาได้รู้ว่าจามรเป็นกรรมการผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ได้แต่เสียใจกับการกระทำของตัวเอง เมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงทั้งคู่จึงได้ครองคู่กันตามสูตรนิยายรัก

อ่านเรื่องย่อข้างบนแล้วแลดูน้ำเน่าสมมาตรฐานนิยายประโลมโลกใช่มั้ยคะ ยอมรับว่าเน่าค่ะ 5555 แต่ที่ชอบคือสำนวนการเขียนและการบรรยายในเรื่อง โดยเฉพาะการเปรียบเทียบเอาน้ำตกน้ำตานางฟ้าที่อยู่ภายในไร่มาเปรียบกับอัปสรสินีซึ่งชื่อมีความหมายว่านางฟ้าเช่นกัน น้ำตกที่ไหลลงมาเปรียบได้กับน้ำตาของนางฟ้าอัปสรสินีที่ถูก foreshadow เอาไว้ว่าภายภาคหน้าเมื่อได้พบกับจามรแล้ว ชีวิตของหล่อนจะไม่ได้ราบเรียบอย่างที่เคยเป็นมา อีกประการคือการใช้น้ำตกเป็นสถานที่แห่งความรักความหลัง ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอก ที่เคยกล่าวถึงไปแล้วก็คือฉากเปลือยเล่นน้ำกันของทั้งคู่ ในการบรรยายนั้นบอกว่าเป็นการว่ายน้ำไล่จับกันอย่างเด็กแต่มีความสำนึกเต็มตัวว่าทั้งคู่เป็นหนุ่มสาว อ่านฉากนี้แล้วรู้สึกว่ามันคลาสสิกมากกก มันมีความเดียงสาแห่งวัยเยาว์ และมีความเร่าร้อนแห่งไฟฟนุ่มไฟสาว มันคือความลงตัวที่กลมกล่อมมาก อ่านแล้วทำให้นึกถึงอดัมกับอีฟในสวนอีเดนหลังจากได้กินผลแอปเปิ้ลอย่างไรอย่างนั้น 

สรุปเลยคือชอบมากกก ตราตรึงที่สุด นักอ่านนิยายหลายคนบอกว่างานเขียนของจามรี พรรณชมพูนั้นน้ำเน่า แต่บอกเลยว่านักเขียนคนนี้เป็นนักเขียนคนแรกเลยที่เราตามเก็บผลงาน และถึงเนื้อเรื่องมันจะน้ำเน่าหรือเดาทางได้ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วเป็นอะไรที่อ่านแล้วฟินนน อยากมีชีวิตแบบนางเอก ฮ่าาาา

ปล. ปกของเราที่มีอยู่ที่บ้านไม่ใช่ปกในรูปนะคะ ในรูปเป็นปกอ่อนแต่ที่มีอยู่เป็นปกแข็งค่ะ หารูปปกแข็งไม่เจอเลยยืมรูปปกอ่อนจากกูเกิ้ลมาแปะไว้ ขอบคุณเจ้าของรูปมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 

 
Multiverse Blog Design by Ipietoon