ปรัชญาชีวิต (ความรัก), The Prophet (On love)



โพสนี้ขอต่อจากที่แนะนำหนังสือปรัญาชีวิต หรือ The Prophet ของ คาลิล ยิบราน ไปเมื่อวาน
ขอเริ่มด้วยบทอันโด่งดังว่าด้วย 'ความรัก' บทนี้ถูกนำไปกล่าวถึงในภาพยนตร์เรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย ของ หม่อมหลวง พันธ์เทวนพ เทวกุล เมื่อไม่นานมานี้ คนพูดคือยุพดี พูดแก่ ส่างหม่อง เป็นนัยเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายทำตามหัวใจตัวเอง บทความภาษาอังกฤษนั้นมีความไพเราะเด็ดขาดอยู่แล้ว แต่บทแปลภาษาไทยที่ถอดความโดยอาจารย์ระวี ภาวิไล ก็เด็ดขาดไม่แพ้กัน ในที่นี้จะตัดนำมาเพียงบางส่วนบางตอนที่ชอบเท่านั้น

เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย


ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว
เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก
ตัวหนาที่เน้นเอาไว้คือท่อนที่ชอบที่สุดของบทว่าด้วยความรักนี้ กล่าวว่าความรักนั้นต้องผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทน หากไม่อยากทุกข์ก็ให้กันตัวเองออกจากความรักเสีย ไปอยู่ในสถานที่ๆคิดว่าปลอดภัย ที่ๆจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่ จะร้องไห้ก็ไม่เต็มเสียง
สำหรับคนที่ผ่านความรักมาแล้ว อ่านมาถึงท่อนนี้ไม่รู้ว่าจะคิดเหมือนเรารึเปล่า ว่าการหัวเราะเต็มที่และร้องไห้จนสุดเสียงนั้น แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ถ้าลองแล้วรู้แล้ว ก็'หลีกหนีออกไปเสียจากลานบด'เถอะค่ะ :)

รักคุณเข้าอีกแล้ว กับ เข้ากันไม่ได้

เท่าที่เคยฟังมา มีเพลงไทยอยู่ 2 เพลงที่มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แปลตรงตามต้นแบบเป๊ะๆ แต่ว่าเนื้อความเก็บได้ครบและไพเราะทั้งสองเวอร์ชั่น 

เพลงแรกที่อยากนำเสนอคือเพลงรั กคุณเข้าอีกแล้ว ของ Boyd Pod เพลงนี้ฟังครั้งแรกในฐานะเพลงประกอบละครจำเลยรักปี 2008 มีความรักความหลังกับเพลงนี้เพราะแฟนเก่าส่งมาให้ฟัง บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงของเราซึ่งตอนนี้กลายเป็นแฟนเก่าไปแล้ว ฮ่าาาาาา แต่เนื้อความมันซึ้งมากจริงๆ 
ชอบท่อนภาษาอังกฤษที่ว่า 


and my love for you is here to last
through heaven's gate or hell's wrath

และความรักของฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อเธอไปตลอดกาล
ไม่ว่าจะผ่านเบื้องประตูแห่งสวรรค์ หรือต้องฝ่าความเดือดดาลของนรก




อีกเพลงคือเพลง เข้ากันไม่ได้ ของ Room 39 เพลงนี้ฟังแล้วก็เศร้า คล้ายว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดเกินทน เนื้อเพลงท่อนภาษาอังกฤษที่ชอบคือ 

You walk right in to reality
While my heart's still wild and free
Dreaming of love that's not mine


And now, we both choose our own lives.
Following our own Moonligh.
My heart still denies to let go

One kiss for goodbye. One touch for the last time
Just one more chance to be in your life
So deep,our love lies. Bring tears to my eyes,
To realize we're not meant for each other


คุณเดินไปสู่ความจริง
ในขณะที่หัวใจของฉันยังคงเฝ้าฝัน
ถึงความรักที่ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ
และตอนนี้ เราต่างเลือกทางเดินของตัวเอง
ทว่าหัวใจของฉันกลับปฏิเสธที่จะปล่อยคุณไป

จูบลาอีกสักครั้ง
สัมผัสครั้งสุดท้าย
ขอโอกาสอีกครั้งที่จะได้อยู่ในชีวิตคุณ
ความรักที่สลักลึกในใจ
ทุกครั้งยังทำให้ฉันร้องไห้
เพราะฉันรู้ดีว่า
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน




2 เพลงนี้เป็นเพลงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ฟังแล้วก็เพราะไปคนละแบบคนละอารมณ์ ที่แน่ๆฟังเพลงวันฝนพรำเพลงไหนก็เพราะ :D


The Prophet by Kahlil Gibran, ปรัชญาชีวิต โดย คาลิล ยิบราน

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่หยิบมาอ่านซ้ำบ่อยที่สุด ปรัชญาชีวิตเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดความเป็นปรัชญาออกมาได้อย่างเรียบง่าย อ่านแล้วเข้าใจโดยที่ไม่รู้สุกว่าเป็นเรื่องไกลตัว ส่วนหนึ่งต้องขอชื่นชมสำนวนการแปลของอาจารย์ระวี ภาวิไล ปกติแล้วหากเป็นหนังสือที่มีต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรามักจะนิยมเลือกอ่านเป็นฉบับภาษาอังกฤษมากกว่าเพราะไม่อยากเสียอรรถรสเพราะการถอดความเป็นภาษาไทย แต่สำนวนของอาจารย์ระวีนี้ บอกได้คำเดียวว่ายอมใจจริงๆ 
ปรัชญาชีวิตเป็นหนังสือที่มีเนื้อความกล่าวถึงสัจธรรมหรือหลักความจริงของโลก เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่พึงมีต่อกัน 

บทเริ่มต้นของฉบับภาษาไทยที่มีอยู่ปัจจุบันในมือกับฉบับเก่าที่เคยอ่านในหอสมุดมหาวิทยาลัยนั้นต่างกัน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด แต่เมื่อซื้อฉบับภาษาไทยมาเป็นของตัวเอง จึงนำไปคัดลอกเนื้อความจากฉบับเดิมในหอสมุดมา เริ่มความว่า 

ถ้าหากคำพูดเหล่านี้เลือนราง ก็อย่าพยายามทำให้มันกระจ่าง ความเลือนรางและหมอกฝ้าเป็นการเริ่มต้นของสรรพสิ่งแต่มิใช่ปลายทางของมัน และเราก็พอใจให้เเธอจำเราเป็นเช่นการเริ่มต้น ชีวิตและสรรพสิ่งอันดำรงชีวิตอยู่ ย่อมเข้าใจได้ในหมอก และมิใช่อย่างกระจ่างแจ้ง และใครบ้างจะรู้ว่า แท้จริงเมื่อหมอกฝ้าสลายลงนั้น มันก็รวมเป็นหยากผลึกใสชัดเจนนั่นเอง

เนื้อความข้างต้นคัดลอกมาจากฉบับเก่าในหอสมุด เป็นบทเริ่มของเนื้อความทั้งหมดที่ไม่เหมือนฉบับพิมพ์ใหม่ที่มีอยู่ในมือ 

หนังสือเรื่องนี้แบ่งออกเป็นบทตอนอันกล่าวถึงความจริงและความสัมพันธ์ในชีวิต เช่น ว่าด้วยความรัก ว่าด้วยการแต่งงาน ว่าด้วยบุตร ว่าด้วยการบริจาค ฯลฯ

หนังสือเล่มนี้แนะนำว่าควรมีติดบ้าน มียาสามัญประจำบ้านฉันใด หนังสือเล่มนี้ก็ควรมีติดบ้านไว้เป็นหนังสือสามัญประจำบ้านฉันนั้น 

คราวหน้าจะมาแนะนำบทที่ชอบพร้อมการตีความหมายบางส่วนบางตอน ส่วนรูปประกอบด้านล่างเป็นหน้าปกฉบับภาษาไทยที่มีอยู่ในมือ



Adele and Lana Del Rey

ในยุคนี้มีนักร้องอยู่ 2 คนที่เราอยากเรียกว่าแม่ คนแรกคือ Adele อีกคนคือ Lana

Adele นั้นร้องเพลงเศร้าได้จับใจ ถ้าใครเพิ่งเลิกกับแฟน อกหัก โดนทิ้ง แฟนเก่าไปมีแฟนใหม่ แนะนำให้ฟังเพลงของอเดล รับรองจะตกอยู่ในสภาพน้ำตาท่วม เคยคุยกับเพื่อนเล่นๆว่าถ้ามีโอกาสได้ไปงานคอนเสิร์ตของอเดล บรรยากาศภายในงานจะเป็นยังไงกันนะ เพื่อนบอกว่าคนที่ไปดูคอนเสิร์ตก็ต้องพากับหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาแฟนเก่ารัวๆไง ระหว่างพิมพ์ส่งก็ร้องไห้ไปด้วย ฟังอเดลไปด้วย น้ำตาไหลไปด้วย คงเป็นบรรยากาศที่ตรึงใจดีพิลึก ฮาาาาาาา 

ส่วน Lana Del Rey นั้น ถ้าเทียบด้วยเนื้อเสียง แน่นอนว่านางแพ้อเดลราบคาบ แต่สองคนนี้มีคุณสมบัติที่คล้ายกันอยู่ประการหนึ่งคือแต่งเพลงเองได้ แถมยังเพราะด้วย ว่ากันว่าลาน่านั้นเป็น Queen of Death ส่วนนี้ก็คงจะจริง เพราะเพลงของนางนั้นเอะอะตายเอะอะตาย จะฟังเพลงลาน่าได้นี่มีความรู้สึกส่วนตัวเลยว่าต้องใจแข็งเป็นพิเศษ เพราะหลายเพลงฟังแล้วทั้งเพราะทั้งหดหู่ ชวนให้อยากตายเอาเสียให้ได้ในบางครั้ง ทั้งเสียง ทั้งดนตรี ทั้งเอ็มวี ทั้งอารมณ์เพลงช่างเข้ากับดิดีชวนไปสวรรค์ (หรือนรก?!?) เอามากๆ

โดยส่วนตัวแล้ว ตัดสินใจยากมากที่จะเลือกเพลงที่ดีที่สุดของสองศิลปินนี้มาแค่เพลงเดียว ใครมีปัญหาเหมือนเราบ้าง ทุกวันนี้แทบจะไม่เสียเงินอุดหนุนศิลปินคนไหน เพราะจะมีที่ชอบแค่เป็นบางเพลง จะให้ซื้อมาฟังทั้งอัลบั้มก็ไม่ค่อยอิน แต่กับอเดลและลาน่าแล้ว บอกได้เลยว่าเสียเงินเต็มจำนวนให้พวกนางทุกครั้ง คือชอบจริงๆ ชอบทุกเพลงด้วย จะให้เลือกเลยยากเลยที่นี้ 

ในที่นี้ตัดสินใจเลือกเพลง Someone like you ของ Adele มา เพราะเพลงนี้เป็นเพลงมาสเตอร์พีซของนาง โดนส่วนตัวถ้าถามว่านึกถึงอเดลแล้วเพลงไหนลอยมาก็นึกถึงเพลงนี้แหละ ชอบบางช่วงบางตอนของเนื้อหา โดยเฉพาะท่อนที่ว่า 

"Don't forget me", I beg
"I'll remember", you said
Sometimes it lasts in love but sometimes it hurts instead,
Sometimes it lasts in love but sometimes it hurts instead
You know how the time flies
Only yesterday was the time of our lives
We were born and raised
In a summer haze
Bound by the surprise of our glory days

"อย่าลืมฉัน" ฉันขอ
"ฉันจะจดจำ" เธอรับปาก
บางครั้งความรักก็คงอยู่ตลอดไป
แต่บางทีมันก็กลายเป็นความเจ็บปวด
เธอก็รู้ว่าวันเวลามันผ่านไปเร็วแค่ไหน
มีเพียงวันวานเท่านั้นที่เคยเป็นวันของเรา
เราเกิดและเติบโตมา
ท่ามกลางสายหมอกแห่งฤดูร้อน
ได้มาผูกพันกัน
ได้มีคืนวันที่งดงามร่วมกัน



ส่วนของ Lana Del Rey ขอเลือกเพลง Summertime sadness เพลงนี้ชอบเพราะอารมณ์มันได้ ฟังแล้วคิดถึงสาวน้อยยุค 60s คลั่งรัก แต่ที่ชอบที่สุดคือท่อนนึงของเพลงที่ฟังทีไรไม่รู้ว่าทำไมถึงเสียใจขนาดนั้น ฟังกี่ครั้งก็เจ็บจริงๆ 

I think I'll miss you forever
Like the stars miss the sun in the morning sky

ฉันว่าฉันคงคิดถึงคุณไปตลอดกาล
เหมือนดวงดาวคิดถึงตะวันเมื่อยามเช้ามาเยือน





น่านไง ไปกันเถอะ :)

ถ้าถามว่ารักจังหวัดไหนที่สุดก็ต้องตอบว่าเชียงใหม่เพราะเป็นบ้านเกิด เคยสั่งเสียกับคนที่บ้านว่า ชีวิตนี้ถ้าเกิดเหตุให้ต้องตายที่อื่นที่ใดที่ไม่ใช่เชียงใหม่ ขอร้องว่าให้นำศพเรากลับบ้านให้ได้

จังหวัดหนึ่งที่ชอบไปแบบไม่เบื่อ ถือว่ารักรองจากเชียงใหม่ เคยเขียนถึงแล้วคืออัมพวา คราวนี้ถึงตาน่านบ้างแล้ว อัมพวากับน่านนี่จะบอกว่าเลือกไม่ถูก ตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน แต่มีโอกาสได้ไปอัมพวามากกว่าเพราะเดินทางสะดวกและไปง่ายกว่าน่านมาก

ว่ากันว่าน่านเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจไปเพราะไม่ใช่ทางผ่านไปจังหวัดใหญ่ๆจังหวัดไหนเลย ประการนี้เห็นด้วยอย่างมาก เพราะจากการเดินทางไปน่าน 2 ครั้ง ทั้ง 2 ครั้งเกิดจากความตั้งใจไปหาล้วนๆ ไม่มีคำว่าผ่านมาเลยแวะหาแต่อย่างใด

ครั้งแรกที่ไปน่านใช้เวลา 2 วัน 1 คืนในตัวอำเภอเมือง ขอบอกว่าน่านเป็นเมืองที่เงียบและสงบมากกกกกก (ก. ไก่แปดแสนล้านตัว) จำไดว่าตอนเย็นจะหาอะไรกิน เวลาแค่ประมาณ 4 โมงเย็น ทุกร้านพากันพร้อมใจปิดหมด ไม่ทราบว่าปิดร้านกันเวลานี้หรือเพราะวันที่ไปนั้นเป็นวันเสาร์อาทิตย์ พอตื่นมาเช้าวันอาทิตย์ เกิดกระสันต์อยากจะดื่มกาแฟ แน่นอนว่าตื่นเช้าไป กว่าร้านกาแฟจะเปิดจำได้ว่าปาเข้าไป 10 โมง แนะนำเลยว่าหากใครอยากจะสัมผัสความสโลว์ไลฟ์ ไม่ต้องไปไหนไกล น่านรอคุณอยู่

สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองน่าน แนะนำว่าให้ไปวัดภูมินทร์ที่ทุกคนที่ไปเยือนน่านต้องไปกัน อารมณ์ว่าถ้าไปถึงน่านแล้วไม่ไปวัดภูมินทร์ถือว่าไปไม่ถึงน่าน ในวัดมีรูปเขียนฝาผนัง 'กระซิบรักบันลือโลก' ดูแล้วประทับใจในความเก่าโบราณที่ยังสามารถดำรงอยู่มาได้ถึงปัจจุบันนี้ บริเวณใกล้เคียงวัดภูมินทร์ก็มีวัดอื่นๆมากมายกระจายตัวอยู่ใกล้ๆ ส่วนนี้เป็นส่วนที่คล้ายเชียงใหม่คือวัดติดวัด จะเข้าวัดไหนก็สวยทั้งนั้น 

ส่วนสถานที่ๆประทับใจที่สุดในครั้งแรกกับน่านนี้คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน สถานที่แห่งนี้เป็นคุ้มเจ้าหลวงเก่า ตัวอาคารสวยมากกกกกก สถานที่แห่งนี้เคยมีกองถ่ายละคร 'รอยไหม' มาถ่ายทำด้วย (ชื่อละครเรื่องนี้ห้ามผวนคำเด็ดขาด !!! ;P) ภายในพิพิธภัณฑ์มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับจังหวัดน่าน ส่วนไฮไลท์ก็ต้องเป็นงาช้างดำที่พลาดไม่ได้ต้องแวะดู ตอนนั้นจำได้ว่างาช้างดำตั้งอยู่ในส่วนจัดแสดงชั้นสอง แนะนำว่าหากจะไปควรโทรไปสอบถามล่วงหน้าก่อนว่ามีส่วนไหนปิดปรับปรุงรึเปล่าจะได้ไม่เสียเที่ยว

ครั้งแรกจบไปกับเสาร์อาทิตย์ในตัวเมือง ส่วนน่านครั้งที่สองก็ตามมาไม่นาน ครั้งนี้เราข้ามตัวเมืองไป จุดหมายปลายทางอยู่ที่ดอยเสมอดาว ตอนที่ไปนั้นเป็นวันธรรมดาและยังไม่เข้าฤดูหนาวแบบเต็มตัว นักท่องเที่ยวจึงยังไม่มาก แต่บรรยากาศและความงดงามให้เต็มร้อย เข้าใจแล้วว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงมีชื่อว่าดอยเสมอดาว เพราะเสมอดาวจริงๆ เวลากลางคืนคุณจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวในทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับจะถูกกลืนหายไปด้วย กิจกรรมบนยอดดอยก็คือนอนดูดาวห่มลมหนาวก่อนจะกลับลงมาด้วยความอิ่มใจ


นี่คือ 2 ครั้งที่ได้มีโอกาสไปเยือนจังหวัดนี้ หวังว่าคงจะมีครั้งที่ 3 ตามมาเพราะตอนนี้คิดถึงน่านแล้ว :D





The Shawshank Redemption (1994)

สมัยนี้ถ้าพูดถึงหนังแหกคุก ทุกคนคงจะคิดถึงเรื่องเดียวกันคือซีรี่ส์ Prison Break 
แต่สำหรับเราแล้ว หนังแหกคุกที่ตรึงใจที่สุดคือ The Shawshank Redemption 
หนังเรื่องนี้ได้รับการแนะนำมาจากอาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งเมื่อสมัยยังเรียนมัธยมปลาย 
อาจารย์บอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องโปรดของท่าน ให้เราลองไปดู ในเวลาต่อมา เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เราชอบที่สุดในชีวิตอย่างที่ไม่มีเรื่องไหนมาลบล้างได้เช่นกัน 

Shawshank เป็นชื่อคุก ตัวหนังถูกระบุประเภทว่าเป็นแนวดราม่า เนื่องจากเรื่องนี้เป็นหนังที่เราชอบมาก เลยจะขอแปะเรื่องย่อที่นำมาจาก wikipedia ซึ่งแน่นอนว่ามันสปอย เพราะฉะนั้นใครยังไม่ได้ดูให้ข้ามลงไปข้างล่างเลยจ้า 

**สปอย**
"แอนดี้ ดูเฟรนส์ (ทิม ร็อบบินส์) นายธนาคารหนุ่มที่ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชายชู้เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แอนดี้ไม่มั่นใจว่าเขาเป็นคนกระทำจริงหรือเปล่า แต่หลักฐานทั้งหมดชี้นำมาที่เขา เขาจึงต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเรือนจำชอว์แชงค์ ในปีค.ศ. 1947
ช่วงแรกที่เข้ามาแอนดี้เป็นคนเงียบและเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แอนดี้ใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะเอ่ยปากพูดกับใคร คนที่เขาพูดด้วยคนแรกคือ เอลลิส บอยด์ "เรด" เรดดิง (มอร์แกน ฟรีแมน) นักโทษผิวสี ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตและอยู่ในชอว์แชงค์มา 20 ปีแล้ว ด้วยความที่เรดอยู่ในเรือนจำแห่งนี้มานานเขาจึงมีสิทธิพิเศษเล็กน้อยที่จะสามารถหาหาของจากภายนอกเข้ามาในคุก อาทิ บุหรี่ รูปดาราสาวหรือของเล่นชิ้นเล็กๆ เรดเป็นคนที่หาสินค้าข้างนอกมาได้ และสิ่งที่แอนดี้ขอจากเรดคือค้อนแกะสลักหิน 6-7 นิ้ว เพื่อมาแกะสลักหินที่งานอดิเรกของตนเนื่องจากดูเฟรนส์เป็นคนที่ชอบการแกะสลัก ในตอนแรกเรดกลัวจะเกิดปัญหาถ้าพัสดีคิดว่ามันเป็นอาวุธได้แต่เมื่อของที่แอนดี้ต้องการมาถึงเรดถึงกับต้องขำเพราะหาใช้ค้อนสลักหินในการแหกคุกคงใช้เวลาร่วมร้อยปี
แอนดี้เป็นคนมีความรู้ จนวันหนึ่งเขาได้ช่วย ผู้คุมแฮดเล่ย์ (แคลนซี่ บราวน์) ในการหลีกเลี่ยงภาษีสุดโหดจากรัฐบาล ความสามารถของแอนดี้รู้ไปถึงหูของ พัสดีนอร์ตัน (บ็อบ กันทอน) แอนดี้ได้ถูกเปลี่ยนตำแหน่งงานในคุกและทำงานใกล้ชิดกับพัสดีนอร์ตันเพื่อดูแลทางด้านบัญชี แอนดี้ช่วยพัสดีนอร์ตันในการฟอกเงินที่ได้มาจากการทุจริต เขาเปลี่ยนจากเงินสกปรกให้เป็นเงินที่สะอาดและถูกต้อง โดยแอนดี้ได้สร้างคนสมมุติขึ้นมาคนหนึ่ง "เรนดัล สตีเวนส์" เพื่อใช้ในการฟอกเงินแต่นั่นกลับมีชีวิตโลดแล่นอยู่จริง มีเลขบัตรประกันสังคม มีบัญชีในธนาคาร และมีชื่อในฐานะผู้เสียภาษีให้กับรัฐบาล ทำให้การสาวความผิดไม่มีทางถึงตัวแอนดี้และพัสดีนอร์ตันอย่างแน่นอน
ชีวิตในคุกของแอนดี้เหมือนไปได้สวยมากกว่าตอนแรกที่เข้ามาอยู่ จนวันหนึ่งในปี ค.ศ. 1965 มีน้องใหม่เข้ามา ทอมมี่ วิลเลี่ยมส์ (กิล เบลโลวส์) เด็กหนุ่มที่ติดคุกหลายแห่งเพราะคดีลักเล็กขโมยน้อย ทอมมี่ได้เล่าเรื่องราวการติดคุกในแต่ละที่ให้ฟังจนวันหนึ่งความจริงที่น่าตกใจ ทอมมี่เล่าว่ามีเพื่อนร่วมห้องคนนึง ได้ฆาตกรรมภรรยาของนายธนาคารและชู้ของมันแต่ว่าสามีกลับรับเคราะห์แทน แอนดี้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตนจะได้รับความยุติธรรม แอนดี้จึงไปหาพัสดีนอร์ตันและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังหวังเพื่อจะรื้อคดีกลับมาพิจารณาใหม่ แต่คำขอนั้นกลับถูกปฏิเสธ พัสดีนอร์ตันไม่มีทางให้คนที่รู้การโกงกินและการฟอกเงินของตัวเองออกไปสู่โลกภายนอกได้ พัสดีนอร์ตันจัดการปิดปากและฆ่าทอมมี่เพื่อดับความหวังครั้งสุดท้ายของแอนดี้ แอนดี้รู้สึกว่าความอยุติธรรมที่ได้รับมันมากพอแล้ว เขาได้บอกเรดเพื่อนรักของเขาว่าต้องพยายามที่จะอยู่ให้ได้หรือไม่ก็พยายามที่จะตาย
ในวันรุ่งขึ้น แอนดี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากเรือนจำชอว์แชงค์ทำให้พัสดีที่มาตรวจห้องขังแอนดี้ด้วยอาการหัวเสีย รื้อค้นจนทั่วพบว่ามีรูขนาดใหญ่ลอดผ่านได้อยู่หลังโปสเตอร์ดาราสาวแผ่นใหญ่ในห้องแอนดี้ รูนั้นต่อตรงสู่ท่อระบายน้ำทิ้งและออกสู่โลกภายนอกนอกเรือนจำ แอนดี้ใช้เวลาที่เขาติดคุกทั้งหมด 19 ปี ในการขุดรูนั่นด้วยค้อนสลักหินที่เขาได้มาเมื่อสองเดือนแรกของการอยู่เรือนจำ ทั้งเรือนจำจึงได้รับรู้ความจริงที่น่าตะลึงว่าแอนดี้แหกคุกออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว
ในรุ่งเช้าหลังจากนั้นมีแอนดี้ได้ตระเวณไล่ถอนเงินฝากของพัสดีนอร์ตันที่มีอยู่ทุกๆธนาคารที่เขาฝากไว้ในรูปชายหนุ่มที่ชื่อว่า "เรนดัล สตีเวนส์" ด้วยบัตรประชาชนที่เขาทำขึ้นจนหมดเกลี้ยง แอนดี้ใช้นามที่เขาเสกขึ้นมาทำให้มันมีตัวตนจริงๆที่กลายเป็นเขา นอกจากนั้นเขายังส่งหลักฐานการทุจริตติดสินบนต่างๆของพัสดีนอร์ตันให้กับตำรวจ จนพัสดีนอร์ตันยิงตัวตายเพื่อหนีความผิดในห้องทำงานของตนเอง
เรดพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการขออนุมัติทัณฑ์บนแต่ต้องผ่านพ้นไปอย่างสูญเปล่าจนเริ่มทำใจแล้วว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ออกไปเห็นแสงสว่างนอกเรือนจำอีก แต่ทว่าการมาถึงของแอนดี้ ชายหนุ่มผู้เก็บงำจุดมุ่งหมายบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา ก็ทำให้เรดได้เห็นคุณค่าของการมีความหวังอีกครั้ง"

สาเหตุที่ชอบหนังเรื่องนี้แบบเข้าเส้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอารมณ์ความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ จำได้ว่าครั้งแรกที่ดูจบ ความรู้สึกมันตื้อไปหมด รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดี ในหัวมันตื้อ น้ำตาเหมือนจะไหล ทว่าน่าแปลกที่กลับร้องไห้ไม่ออก ความรู้สึกนี้ผ่านมาเป็นสิบปี ไม่มีหนังเรื่องไหนอีกเลยที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ได้ อีกประการหนึ่งที่ชอบในตัวบทคือโทนของหนัง ตลอดความยาว 142 นาทีถูกสื่อออกมาในโทนดราม่า ก็แน่ล่ะเนอะ ฉากส่วนใหญ่อยู่ในคุก โทนที่ออกมาก็ต้องดราม่าเป็นธรรมาดา ตลอดเวลาที่แอนดี้ติดคุก เขาต้องเผชิญกับความเลวร้ายมากมาย แต่ในความเลวร้ายนั้นเขาได้เจอกับคนที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรแท้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่าความหวัง ความหวังในสภาพการณ์และสถานที่ๆน่าหดหู่ที่สุด แต่ความหวังนั้นเองที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่และได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง 

The Shawshank Redemption ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขาในปีนั้นแต่ไม่ได้รับรางวัลใดๆเลยเพราะพ่ายให้แก่ Forrest Gump ที่ออกฉายในปีเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ต่อมา The Shawshank Redemption ได้รับการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง IMDB ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอันดับ 1 จาก 250 อันดับ เอาชนะ Forrest Gump 



ภูเขา ทะเล แม่น้ำ ชอบที่ไหนมากที่สุด?

คำถามจั่วหัวข้างต้นเป็นคำถามที่เราชอบมากกก ชอบถามทุกคนที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง
เอาเป็นว่าใครที่อยู่ในชีวิตเราจะต้องผ่านการถูกถามด้วยคำถามนี้กันทุกคน

คำตอบพร้อมเหตุผลที่ได้ก็มักจะหลากหลายแตกต่างกันออกไป โดยส่วนตัวแล้วเราเกิดกลางจังหวัดที่มีภูเขาล้อมรอบ เชียงใหม่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะที่ถูกล้อมด้วยภูเขา ในหน้าแล้งจะเห็นจากข่าวทุกปีว่ามีปัญหาหมอกควันซึ่งเกิดจากการเผาป่าแล้วควันนั้นมันก็ไม่ไปไหน รมคนในจังหวัดนั่นแหละค่ะ 

ชอบภูเขาถ้าเป็นหน้าหนาวที่เชียงใหม่ จำได้ว่าสมัยเรียนดึกๆดื่นๆชอบแว๊นมอไซกับเพื่อนไปขึ้นดอยสุเทพ จุดชมวิวที่ 1 เป็นอะไรที่ไม่ไกลมากสำหรับมอไซ ที่นั่นคุณจะเห็นดาวบนดินหรือแสงไฟในตัวเมืองเชียงใหม่ ดูสวยงามและแสนไกลในเวลาเดียวกัน หากโชคดีฟ้ากระจ่าง คุณก็จะเห็นดาวบนฟ้าเป็นกำไร 2 ชั้น สาเหตุที่ชอบขึ้นไปบนนั้นเพราะในชั่วขณะหนึ่ง เราจะรู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของใครหรืออะไรเลย ทั้งชีวิตและจิตใจถูกกันออกจากทุกอย่าง ณ ขณะนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเราเป็นอิสระที่สุดในชีวิต แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีคนมาผูกคอตายที่จุดชมวิวนั้น เอาเป็นว่าหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ขึ้นไปอีกเลย ฮาาาาาา T-T

เกิดที่ภูเขา ชอบภูเขาปานกลาง แต่กลับได้ไปทะเลบ่อยที่สุด เรื่องนี้มันก็มีสาเหตุมาจากว่าพี่สาวมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพหลายสิบปี และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพส่วนมากก็เป็นทะเลทั้งนั้น ช่วงหลายปีมานี้จึงได้ไปทะเลปีละไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ถ้าถามว่าชอบทะเลรึเปล่า ค่อนข้างมีคำตอบชัดเจนว่าไม่ค่อยชอบ เหตุเพราะทะเลมันร้อนและเหนียวตัวในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนนั้นทะเลก็ดูน่ากลัว เหมือนจะมีอสุรกายอยู่ใต้น้ำพร้อมโผล่ขึ้นมากวาดสิ่งที่อยู่บนฝั่งลงทะเลไปให้หมด

สถานที่ๆชอบที่สุดจริงๆคือแม่น้ำ ชั่วชีวิตฝันว่าอยากมีบ้านริมน้ำ แถมยังโลภจะเอาแม่น้ำใหญ่ๆอย่างแม่น้ำบางปะกงหรือแม่น้ำแม่กลอง ถ้าเป็นคลองไม่เอา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแม่น้ำที่สุด แต่ตั้งแต่จำได้ สถานที่ๆไปแล้วไม่เคยเบื่อเลยคืออัมพวา เรารักที่จะนอนในบ้านไม้ริมคลองหลังเล็กๆ มองดูสายน้ำไหลเอื่อยๆ ณ สถานที่นั้นสวยทั้งเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน 
ระยะหลังมานี้ได้มาเฝ้าครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ชอบแม่น้ำมากกว่าอะไรทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาได้อยู่ริมน้ำ เรารู้สึกเหมือนอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน จริงที่ได้อยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น และฝันถึงวันเวลาเก่าๆของวิถีชีวิตริมน้ำที่ไม่มีวันหวนคืน พูดไปก็คงไม่มีใครเข้าใจ เพราะสิ่งที่มันคงเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ที่แต่ละคนชื่นชอบไม่เหมือนกัน 

ปล. เพลงโปรดเถิดดวงใจของทูล ทองใจ เป็นเพลงที่ต้องฟังทุกครั้งเวลาไปพักที่บ้านริมน้ำ อันนี้ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน จะเรียกว่าเป็นความโรแมนติกส่วนตัวหรือความอ่อนไหวก็ได้ทั้งนั้น 



Lolita by Vladimir Nabokov

Lolita, light of my life, fire of my loins. My sin, my soul. Lo-lee-ta.
โลลิต้า แสงสว่างแห่งชีวิต ไฟในท้องน้อย บาปและจิตวิญญาณ โลลิต้า



ประโยคขึ้นต้นของหนังสือที่ยืมมาจากหอสมุดมหาวิทยาลัยโดยมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้อ่าน

เรื่องราวของอาจารย์สอนวรรณคดีวัย38กับเด็กสาวอายุ12ผู้เป็นลูกเลี้ยง
ที่มาของคำว่า'โลลิต้า'ในความหมายของชายมีอายุที่นิยมชมชอบเด็กสาว



โลลิต้าเป็นบทประพันธ์ของวลาดิเมียร์ นาโบคอฟ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี1955

เป็นหนังสือที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางที่สุดเล่มหนึ่งในวงการวรรณกรรมโลก
ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์รวม2ครั้งในปี1962และปี1997

ตัวละครเอกและผู้เล่าเรื่องในหนังสือคือศาสตราจารย์ฮัมเบิร์ต ฮัมเบิร์ต เขาเล่าถึงเด็กสาวนามโดโลเรส ผู้ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ใหม่ว่าโลลิต้า ภายหลังทั้งคู่ได้มีสัมพันธ์สวาทกันเมื่อแม่ของเด็กสาวเสียชีวิตลงและเขาต้องดูแลโลลิต้าในฐานะลูกเลี้ยง

หากมองในแง่ศีลธรรมและสายตาของมนุษย์ปกติทั่วไป ศาสตราจารย์ฮัมเบิร์ตน่าจะมีอาการทางจิตและทำผิดศัลธรรมร้ายแรง ในการบรรยาย เขาแสดงออกถึงอาการหลงไหลที่มีต่อโลลิต้าชนิดที่เข้าขั้นว่าเป็น obsession 

เมื่ออ่านจนจบก็ยังมีความสงสัยในสุขภาพจิตของศาสตราจารย์ฮัมเบิร์ตอยู่ ทว่าสิ่งที่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกสงสาร สงสารในตัวชายผู้นี้ที่ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเอาชนะทุกอย่าง จนในที่สุดเมื่อถูกอารมณ์เข้ามาครองตัวเป็นเจ้าเรือน ชีวิตทั้งชีวิตก็พังทลายลง

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อศาสตราจารย์ฮัมเบิร์ตนั้น ตัวผู้อ่านเองก็ไม่อาจตัดสินได้ว่ามันเป็นความรักใช่หรือไม่ แต่อ่านแล้วได้บทเรียนว่าสิ่งที่ร้ายแรงกว่าความรักนั้นคือความใคร่และกิเลศอย่างหนา ซึ่งน่ากลัวกว่าความรักเป็นพันเท่า 

ปล. ล่าสุดเห็นโลลิต้าเวอร์ชั่นภาษาไทยแปลโดยคุณปราบดา หยุ่น ฉบับภาษาอังกฤษถือว่าค่อนข้างหนาทีเดียว หากใครขี้เกียจ ฉบับภาษาไทยก็เป็นอะไรที่น่าลิ้มลอง 








ไหว้ย่านาค ปล่อยปลา ที่วัดมหาบุศย์ (ฉบับมึนและโฮ T-T)

เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปไหว้ย่านาคที่วัดมหาบุศย์ พระโขนง
สถานที่หาไม่ยาก ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 77 หรือซอยอ่อนนุชนั่นเอง
พอเลี้ยวเข้าสุขุมวิท 77 ให้สังเกตสะพานลอยคนข้าม 
วัดมหาบุศย์ตั้งอยู่ตรงสะพานลอยที่ 2 พอดี

วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงคือตำนานย่านาคแห่งพระโขนงอันโด่งดัง 
ว่ากันว่าหากจะมาขอพรย่านาค ให้ขอท่านในเรื่องของความรักหรือเรื่องการเกณฑ์ทหาร
ใครไม่อยากให้ลูกหลานหรือคนรักติดทหารให้ลองมาขอย่านาคดู

นอกจากศาลย่านาคแล้ว ในบริเวณเดียวกันมีซุ้มหมอดูมากมาย 
มีทั้งดูไพ่ ดูลายมือ ดูตำราพรหมชาติ กะด้วยสายตาคร่าวๆน่าจะหลายสิบเจ้าเลยทีเดียว
โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ดูและไม่ทราบว่าเจ้าไหนแม่นหรือไม่แม่น
หากจะดูแนะนำให้ดูจากคิว คิวไหนยาวคิวนั้นก็น่าจะแม่นนะคะ :P

ก่อนกลับแวะไปปล่อยปลาริมคลองพระโขนง วันนี้น้ำในคลองอยู่ในสภาพที่โอเคกว่าเดิมมาก
จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่มาน้ำเน่ามากกกกกก เน่าจนสงสัยว่าหากปล่อยปลาลงไป ปลาจะสำลักน้ำเน่าตายรึเปล่า แทนที่จะได้บุญกลัวว่าจะได้บาปมาโดยไม่รู้ตัวแทน 
แต่คราวนี้ด้วยความที่น้ำใสพอประมาณ เลยตัดสินใจซื้อปลามาปล่อย ครั้งที่เป็นครั้งแรกที่มาปล่อยปลา ณ วัดแห่งนี้ 

จัดการซื้อปลาและปล่อยลงคลองเสร็จสรรพ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคุณน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ในเรือ ในมือมีกระชอนขนาดย่อมกำลังช้อนปลาเล็กปลาน้อยที่นักท่องเที่ยวปล่อยลงไป กวาดสายตาไปบริเวณรอบๆก็ได้เห็นว่ามีการนำตาข่ายมาขึงไว้ แน่นอนว่าปลาที่ปล่อยไปไม่มีทางไปไหนได้เพราะติดตาข่าย 
ความรู้สึกตอนนั้นคืออึ้งทึ่งตะลึง ได้แต่โทษตัวเองว่าไม่รู้จักสังเกตสังกาให้ดีก่อน ถ้าเห็นตั้งแต่แรกก็จะไม่ซื้อปลามาปล่อยเด็ดขาดเพราะปลาไม่ได้รับอิสระแต่อย่างใดเลย 

เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่เดินอย่างหมาหงอยกลับมาที่รถ ทันใดนั้น!!! 
ตรงบริเวณที่เป็นที่จอดรถซึ่งอยู่ริมคลอง มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังปล่อยปลาอยู่ 
ณ จุดๆนี้เลยเดินไปดูใกล้ๆ พบว่าถ้านำปลามาปล่อยที่นี่จะไม่มีใครมาจับปลาแต่อย่างใด แถมยังไม่มีตาข่ายกั้นอีกด้วย อารมณ์ตอนนั้นคือเฟลมากกกกกก แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเพราะไม่รู้จริงๆ
หลังจากครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยปลาลงคลองเล็กๆอีกแล้ว เพราะเคยไปปล่อยปลาลงแม่น้ำแม่กลองที่วัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ มั่นใจได้ว่าปล่อยลงไปแล้วไม่มีใครตามไปจับกลับมาขายได้แน่เพราะอันตรายมาก 

หากใครอยากปล่อยปลาแนะนำด้วยใจจริงว่าอยากให้ไปหาปล่อยในวัดที่อยู่ติดแม่น้ำใหญ่ เพื่อความมั่นใจว่าปลาที่เราปล่อยไปจะได้รับอิสระจริงๆ 

ปล. วันที่เจอเหตุการณ์นี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่อึ้ง T-T 
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000121184






500 days of summer

500วัน กับนังซัมเมอร์
ประโยคอันตราตรึงของพระเอกในเรื่องนี้คือ 'I hate summer' กูเกลียดซัมเมอร์
ซัมเมอร์ของเขาไม่ใช่ฤดูร้อนแต่เป็นชื่อของหญิงสาวนางหนึ่ง
หญิงสาวผู้มีนิสัยประหลาด มาทำให้เขารักแล้วก็หักอกเขาทิ้ง

จากการฟังเสียงเพื่อนหลายๆคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ 8 ใน 10 พูดไปในแนวทางเดียวกันว่าเกลียดน้องนางซัมเมอร์และสงสารพ่อพระเอกมากมาย เอาจริงๆว่าตอนแรกที่เราดูก็ออกจะเห็นใจพระเอกอยู่ไม่น้อย
แต่พอดูจบไปสักพักแล้วความคิดเกิดการตกตะกอน เราว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีใครน่าเห็นใจไปมากกว่าใคร
การกระทำของทุกตัวตะครต่างก็มีเหตุผลส่วนบุคคลกันทั้งนั้น 

ซัมเมอร์ไม่ได้เป็นคนผิดและไม่สมควรถูกกล่าวโทษ เพราะเธอไม่ได้หลอกลวงทอมตั้งแต่แรก ในความไม่ชัดเจน เธอได้มอบความชัดเจนให้แก่เขา เธอให้ได้เท่าที่เธอสามารถให้และก็จริงใจกับชายหนุ่มตามนั้น ในแบบของเธอ 
ทอมเองก็ไม่สามารถอ้างเอาความรักที่มีต่อซัมเมอร์มากล่าวโทษหญิงสาวแล้วกลายเป็นคนน่าเห็นใจได้ เพราะเขาเองก็ยอมรับในความสัมพันธ์เช่นนี้มาตั้งแต่แรก 

หากจะหาสาเหตุของความผิดพลาดในความสัมพันธ์ครั้งนี้ มีอยู่ประการเดียวคือการเลือกรักคนผิดและคิดว่าจะสามารถเปลี่ยนอีกฝ่ายได้ 

หลังจากดูจบแล้วรู้สึกหน่วงๆในใจ มันจี๊ดๆอย่างบอกไม่ถูก พาลนึกไปถึงประโยคจากหนังอีกเรื่องหนึ่ง เรื่อง The Perks of Being a Wallflower ที่ว่า 'We accept the love we think we deserve.' เรายอมรับในความรักที่เราคิดว่าเราคู่ควร


Moving on, a song by Kodaline

มีเพลงในใจที่ฟังกี่ครั้งก็น้ำตาตกมั้ยคะ 
บางที่เราก็ไม่ได้มีความรักความหลังอะไรกับเพลงๆนั้น
แต่ว่าฟังทีไรก็น้ำตาร่วงทุกที
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเสียงร้อง ทำนอง ดนตรี หรือเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมา
เพลงนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าฟังตอนหน้าฝนหรือวันฟ้าครึ้ม
อดน้ำตาไหลไม่ได้สักที

'ฉันยอมรับความจริงไม่ได้ว่าเราต่างต้องเติบโตขึ้น แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นสินะ
ฉันสงสัยว่าคุณยังจำฉันได้รึเปล่า ยังจำได้มั้ยที่ฉันเคยบอกคุณว่า
ฉันรักคุณสุดหัวใจ

บางทีวันข้างหน้าเราอาจจะได้พบกันอีก อาจจะได้ดื่มกันสักแก้วและคุยกันสักครู่
รำลึกถึงความหลัง เมื่อครั้งที่เรายังอยู่ด้วยกัน

ฉันจะรอคุณอยู่ที่นั่น ที่ๆวันหนึ่งเราจะมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของแต่ละคนให้กันและกันฟัง'



สถานตากอากาศบางปู ไปดูนกนางนวล


ปีนี้เป็นปีที่สามติดต่อกันที่ได้มีโอกาสมาดูนกนางนวลที่สถานตากอากาศบางปู ได้เดินไปตาม 'สะพานสุขตา' ไปจนถึง 'ศาลาสุขใจ' 
ระหว่างทางเดินบนสะพานที่ทอดยาวเต็มไปด้วยนกนางนวลหลายพันตัวที่อพยพหนีหนาวมาจากไซบีเรีย นักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาให้อาหารนก ณ สถานที่แห่งนี้


มองดูนกไป ในใจก็พาลคิดไปว่านกพวกนี้ช่างน่าอิจฉา มีทั้งอิสระเสรีและกำลังวังชาในการออกเดินทางมาไกลขนาดนี้
ปกตินกนางนวลจะอพยพหนีหนาวมาในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ปีนี้ถือว่านกมาช้ากว่าปกติ ในขณะที่เขียนบันทึกนี้คือเดือนกุมภาพันธ์ก็ยังมีนกจำนวนมากที่ยังไม่กลับไซบีเรีย ไม่แน่ใจว่าปีหน้าพวกเขาจะมากันช่วงเดือนไหน แต่ที่แน่ๆจะพายายมาดู :)


คิดถึงปีที่แล้วตอนที่เข้าไปในตัวอาคาร 'ศาลาสุขใจ' ตอนนั้นมีโอกาสได้เห็นคุณตาคุณยาย คุณลุงคุณป้ามาเต้นลีลาศกันที่บริเวณลานในตัวอาคาร เพลงที่เปิดเป็นเพลงลูกกรุงในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งเป็นผู้ดำริให้สร้างสถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ 
น่าเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้เห็นลีลาศเพราะมาตั้งแต่หัววันเกินไป เห็นว่ากิจกรรมนี้จะมีทุกวันเสาร์เวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น 
แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นๆประมาณ 5 โมงไปเลยเพราะส่วนที่ดูนกนางนวลและให้อาหารเป็นพื้นที่กลางแจ้ง อากาศจะร้อนมาก ไม่ควรมาช่วงกลางวันเด็ดขาด 
ขากลับเดินผ่านบริเวณป่าชายเลน น่าเสียดายอีกแล้วที่ปีนี้ไม่ได้เห็นปลาตีนกับปูราชินีเพราะน้ำยังไม่ลด ปีที่แล้วมาตอนประมาณ 5 โมงเย็นเป็นช่วงน้ำลดพอดีเลยมีโอกาศได้เห็น




สรุปว่าปีนี้กลับไปด้วยความเฟลเล็กน้อยที่อะไรๆดูเหมือนจะไม่พอดีสักอย่าง แต่ไม่เป็นไร ปีหน้าจะมาหาใหม่นะเจ้านกนางนวล :)

The Great Gatsby by Francis Scott Fitzgeral

In my younger and more vulnerable years my father gave me some advice that I’ve been turning over in my mind ever since.

“Whenever you feel like criticizing any one,” he told me, “just remember that all the people in this world haven’t had the advantages that you’ve had.”

ในวัยเยาว์ของผม พ่อได้ให้คำแนะนำบางประการที่เปลี่ยนความคิดของผมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา "เวลาที่รู้สึกว่าอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ใคร" พ่อกล่าว "จำไว้ว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ได้มีคุณลักษณะแบบเดียวกับที่ลูกมี"

เดอะ เกรท แกสต์บี้ หรือ แกตส์บี้ผู้ยิ่งใหญ่ บทประพันธ์อมตะโดยฟรานซิส สก็อต ฟิทซ์เจอรัลด์ กวีและนักเขียนชาวอเมริกันในยุค Jazz Age (1920s) เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ถูกเล่าโดยนิค คาราเวย์ซึ่งเปรียบได้ดังผู้สังเกตการณ์และนำมาบันทึกเป็นหนังสือเล่มนี้

นิคเป็นนักเขียนหนุ่มผู้เดินทางมุ่งหน้าสู่นิวยอร์คในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1922 ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าเป็นยุคศีลธรรมตกต่ำ ยุคแห่งคนตรีแจ๊ส ยุคแห่งการค้าของเถื่อน และยุคของการแสวงหาความฝันแบบอเมริกัน (American Dream)

ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงเนื้อเรื่องในหนังสือมากนัก แต่จะขอแสดงความคิดเห็นที่มีต่อหนังสือภายหลังอ่านจบ

ประโยคเปิดเรื่องของหนังสือเล่มนี้ที่นำมาแปลไว้ข้างบนเป็นทั้ง foreshadow และ irony ของเนื้อเรื่องในภายหลัง นิคเริ่มต้นเล่าว่าพ่อของเขาสอนให้ไม่ตัดสินคนอื่นเพราะคนทุกคนล้วนมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ทว่าเมื่ออ่านไปจนถึงราวกลางๆเรื่องและย้อนกลับมาที่ประโยคข้างต้นอีกครั้ง จะเห็นได้ว่านิค คาราเวย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาตัดสินเดซี่และทอม บูคานัน โดยเลือกข้างเจย์ แกตส์บี้ ผู้ซึ่งเขายกย่องว่าเป็น 'The Great' ตามชื่อหนังสือ

เมื่อกล่าวถึงในแง่ของตัวละคร อาจกล่าวได้ว่าตัวละครในหนังสือเล่มนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจนคือ romantic กับ realist เจย์ แกตส์บี้อยู่ในกลุ่มของ romantic ชายผู้บูชาความรักและทำทุกอย่างได้เพื่อเดซี่ หญิงสาวอันเป็นที่รัก เขากลายเป็นพ่อค้าของเถื่อนผู้ร่ำรวยมหาศาล จัดงานปาร์ตี้แสนอลังการเป็นประจำ ทั้งหมดก็เพราะมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบกับเดซี่ในงานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันร่วม 5 ปี ส่วนเดซี่ หญิงสาวฝั่ง realist ผู้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินและโลกแห่งความเป็นจริง เธอเป็นคนรักเก่าของแกตส์บี้ผู้เลือกที่จะไม่รอและแต่งงานไปกับมหาเศรญฐีผู้ร่ำรวยสูงส่งนาม ทอม บูคานัน

มีคำกล่าวว่านักเขียนมักจะถ่ายทอดเสี้ยวชีวิตส่วนหนึ่งของตนลงไปในงานเขียนไม่ว่าจะด้วยความรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ในที่นี้ เอฟ สก็อต ฟิทซ์เจอรัล ได้ทิ้งวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาไว้ในหนังสือเล่มนี้ ฟิทซ์เจอรัลเป็นบุตรคนเดียวในครอบครัวเศรษฐีแห่งมินิสโซต้า เคยเข้าเรียนที่พรินซ์ตันแต่เรียนไม่จบ เขามีชีวิตอยู่ในยุค 1920s ตามระยะเวลาเดียวกันกับบทประพันธ์เรื่องนี้ ชั่วชีวิต ฟิทซ์เจอรัล มีชีวิตอยู่ในงานเลี้ยงท่ามกลางความหรูหราอลังการและเสียชีวิตลงด้วยวัยเพียง 44 ปีอย่างเดียวดายในสภาพหนี้สินล้นพ้นตัว จุดจบของฟิทซ์เจอรัล ช่างมีความคล้ายคลึงกับแกตส์บี้ ตัวเอกของเรื่อง ราวกับว่าเขาเห็นอนาคตของตัวเองและจารึกตัวเขาเองไว้เป็นตัวอักษรนามว่าเจย์ แกตส์บี้

หนังสือเรื่องนี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของความรักและความลวง ความจอมปลอม โศกนาฏกรรมชีวิต เปลือกนอกและความฉาบฉวยของมนุษย์ อ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจโดนกระเทาะเปลือกนอกออก เปิดเปลือยถึงความเร้นลึกในจิตใจจนสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ


 
Multiverse Blog Design by Ipietoon