ถ้าถามว่ารักจังหวัดไหนที่สุดก็ต้องตอบว่าเชียงใหม่เพราะเป็นบ้านเกิด
เคยสั่งเสียกับคนที่บ้านว่า
ชีวิตนี้ถ้าเกิดเหตุให้ต้องตายที่อื่นที่ใดที่ไม่ใช่เชียงใหม่
ขอร้องว่าให้นำศพเรากลับบ้านให้ได้
จังหวัดหนึ่งที่ชอบไปแบบไม่เบื่อ
ถือว่ารักรองจากเชียงใหม่ เคยเขียนถึงแล้วคืออัมพวา คราวนี้ถึงตาน่านบ้างแล้ว
อัมพวากับน่านนี่จะบอกว่าเลือกไม่ถูก ตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน
แต่มีโอกาสได้ไปอัมพวามากกว่าเพราะเดินทางสะดวกและไปง่ายกว่าน่านมาก
ว่ากันว่าน่านเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจไปเพราะไม่ใช่ทางผ่านไปจังหวัดใหญ่ๆจังหวัดไหนเลย
ประการนี้เห็นด้วยอย่างมาก เพราะจากการเดินทางไปน่าน 2 ครั้ง ทั้ง 2 ครั้งเกิดจากความตั้งใจไปหาล้วนๆ
ไม่มีคำว่าผ่านมาเลยแวะหาแต่อย่างใด
ครั้งแรกที่ไปน่านใช้เวลา 2 วัน 1 คืนในตัวอำเภอเมือง
ขอบอกว่าน่านเป็นเมืองที่เงียบและสงบมากกกกกก (ก. ไก่แปดแสนล้านตัว)
จำไดว่าตอนเย็นจะหาอะไรกิน เวลาแค่ประมาณ 4 โมงเย็น ทุกร้านพากันพร้อมใจปิดหมด
ไม่ทราบว่าปิดร้านกันเวลานี้หรือเพราะวันที่ไปนั้นเป็นวันเสาร์อาทิตย์
พอตื่นมาเช้าวันอาทิตย์ เกิดกระสันต์อยากจะดื่มกาแฟ แน่นอนว่าตื่นเช้าไป
กว่าร้านกาแฟจะเปิดจำได้ว่าปาเข้าไป 10 โมง แนะนำเลยว่าหากใครอยากจะสัมผัสความสโลว์ไลฟ์ ไม่ต้องไปไหนไกล
น่านรอคุณอยู่
สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองน่าน
แนะนำว่าให้ไปวัดภูมินทร์ที่ทุกคนที่ไปเยือนน่านต้องไปกัน
อารมณ์ว่าถ้าไปถึงน่านแล้วไม่ไปวัดภูมินทร์ถือว่าไปไม่ถึงน่าน ในวัดมีรูปเขียนฝาผนัง
'กระซิบรักบันลือโลก' ดูแล้วประทับใจในความเก่าโบราณที่ยังสามารถดำรงอยู่มาได้ถึงปัจจุบันนี้
บริเวณใกล้เคียงวัดภูมินทร์ก็มีวัดอื่นๆมากมายกระจายตัวอยู่ใกล้ๆ
ส่วนนี้เป็นส่วนที่คล้ายเชียงใหม่คือวัดติดวัด จะเข้าวัดไหนก็สวยทั้งนั้น
ส่วนสถานที่ๆประทับใจที่สุดในครั้งแรกกับน่านนี้คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน
สถานที่แห่งนี้เป็นคุ้มเจ้าหลวงเก่า ตัวอาคารสวยมากกกกกก
สถานที่แห่งนี้เคยมีกองถ่ายละคร 'รอยไหม' มาถ่ายทำด้วย
(ชื่อละครเรื่องนี้ห้ามผวนคำเด็ดขาด !!! ;P) ภายในพิพิธภัณฑ์มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับจังหวัดน่าน
ส่วนไฮไลท์ก็ต้องเป็นงาช้างดำที่พลาดไม่ได้ต้องแวะดู
ตอนนั้นจำได้ว่างาช้างดำตั้งอยู่ในส่วนจัดแสดงชั้นสอง
แนะนำว่าหากจะไปควรโทรไปสอบถามล่วงหน้าก่อนว่ามีส่วนไหนปิดปรับปรุงรึเปล่าจะได้ไม่เสียเที่ยว
ครั้งแรกจบไปกับเสาร์อาทิตย์ในตัวเมือง
ส่วนน่านครั้งที่สองก็ตามมาไม่นาน ครั้งนี้เราข้ามตัวเมืองไป
จุดหมายปลายทางอยู่ที่ดอยเสมอดาว
ตอนที่ไปนั้นเป็นวันธรรมดาและยังไม่เข้าฤดูหนาวแบบเต็มตัว
นักท่องเที่ยวจึงยังไม่มาก แต่บรรยากาศและความงดงามให้เต็มร้อย
เข้าใจแล้วว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงมีชื่อว่าดอยเสมอดาว เพราะเสมอดาวจริงๆ
เวลากลางคืนคุณจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวในทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับจะถูกกลืนหายไปด้วย
กิจกรรมบนยอดดอยก็คือนอนดูดาวห่มลมหนาวก่อนจะกลับลงมาด้วยความอิ่มใจ
นี่คือ 2 ครั้งที่ได้มีโอกาสไปเยือนจังหวัดนี้
หวังว่าคงจะมีครั้งที่ 3 ตามมาเพราะตอนนี้คิดถึงน่านแล้ว
:D
0 comments:
Post a Comment