พื้นที่ทับซ้อน

เคยเห็นคำกล่าวจากที่ไหนสักแห่งว่าความรักเป็นพื้นที่ทับซ้อน เนื้อความที่จำได้คร่าวๆกล่าวว่า คนสองคนมีพื้นที่เป็นของแต่ละคน มีเวลาและจังหวะชีวิตเป็นของแต่ละคน พื้นที่ เวลา และจังหวะชีวิตที่ว่า หากเกิดการทับซ้อนกันก็คงได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน หรือเรียกว่าเป็นคนที่ใช่ คือถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา ในความเห็นส่วนตัวแล้ว หากมีประการใดประการหนึ่งผิดพลาดไป คือ ไม่ถูกคน ไม่ถูกที่ หรือไม่ถูกเวลา การทับซ้อนนั้นก็คงไม่สมบูรณ์และไม่อาจก่อให้เกิดความสัมพันธ์ได้ 

เรื่องพื้นที่ทับซ้อนนี้ทำให้นึกถึงทฤษฎีจักรวาลคู่ขนาน หรือที่เรียกว่า Parallel Universe ขึ้นมา กล่าวว่า จักรวาลของเรานี้ไม่ใช่ Universe หรือจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว (uni แปลว่าหนึ่ง) ทว่าเป็น Multiverse หรือมีหลายๆจักรวาลคู่ขนานกัน (multi แปลว่าหลาย) โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่ามีคนอยู่ 2 ประเภทที่เชื่อในทฤษฎีนี้ ประเภทแรกคือนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ กับอีกพวกคือชาวสมาคมนิยมเรื่องโรแมนติค ซึ่ง จขบ เองเป็นพวกหลังอย่างแน่นอน ฮ่าาาาาาาาา

สำหรับทฤษฎีทางฟิสิกส์นั้น กล่าวถึงทฤษฎีเส้นเชือก หรือ String Theory ปัจจุบันเชื่อว่าอวกาศของเรานั้นประกอบด้วย 4 มิติ ซึ่งมิติที่ 4 คือ space-time หรือ กาล-อวกาศ ที่เพิ่งเป็นข่าวฮือฮากันไปเรื่องทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง อย่างไรก็ตามมีแนวคิดที่ว่าอวกาศนั้นมีมากกว่า 4 มิติอยู่ด้วย ซึ่งนักฟิสิกส์บางกลุ่มทำการค้นคว้าอยู่ในปัจจุบัน ส่วนโลกคู่ขนานที่อิงกับทฤษฎีเส้นเชือกนั้นก็แบ่งออกไปได้อีกหลายทฤษฎีย่อย 

ทฤษฎีแรกคือโลกคู่ขนานแบบควอนตั้ม (Quantum Parallel Universe) อิงถึงหลักความน่าจะเป็น ยกตัวอย่างเช่น การทอดลูกเต๋า ลูกเต๋าแต่ละหน้าแสดงถึงความน่าจะเป็นที่มีอยู่ เปรียบเหมือนโลกคู่ขนาน แต่เมื่อเราทอดได้หน้าใดหน้าหนึ่งก็เท่ากับว่าเราได้เลือกโลกหน้านั้น ทั้งๆที่มีโลกคู่ขนานหรือลูกเต๋าในหน้าอื่นๆอยู่อีก

ต่อมาคือทฤษฎี String theory multi-universes อธิบายว่าอนุภาคมีลักษณะเป็นเส้นเชือกหนึ่งมิติ การสั่นของเส้นเชือกจะทำให้เกิดตัวโน๊ตแทนอนุภาคหนึ่งตัว ตัวโน๊ตที่ต่างกันก็จะให้อนุภาคที่ต่างกัน ตามทฤษฎีนี้ นักฟิสิกส์เชื่อว่าจำนวนมิติในเอกภพจะมีถึง 10 มิติ คือเวลาหนึ่งมิติและอวกาศอีกเก้ามิติ

ทฤษฎีสุดท้ายเกี่ยวกับโลกคู่ขนานคือ Inflation multi-universes ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากการศึกษาจักรวาลวิทยา (cosmology) ว่าด้วยการกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพด้วยบิ๊กแบง นักฟิสิกส์ชื่ออังเดร ลินด์ ได้เสนอทฤษฎีชื่อ Bubble Universe Theory หรือ ทฤษฎีโลกคู่ขนานแบบบับเบิ้ล กล่าวว่าหลังเกิดบิ๊กแบง เอกภพมีความหนาแน่น พลังงาน และความผันผวนสูงมาก เพราะเกิดการสั่นอย่างรุนแรงทำให้มีลักษณะเหมือนน้ำเดือดปุดๆมีฟองผุดขึ้นมาจนอาจทำให้กาล-อวกาศบางส่วนหลุดออกมา เรียกว่า ควอนตั้มโฟม (quantum foam) หรือ ควอนตั้มบับเบิล (quantum bubble) เปรียบอวกาศเป็นฟองบับเบิลที่สามารถผุดขึ้นมาได้หลายฟอง สามารถเติบไปเป็นจักรวาลหรือเอกภพที่แตกต่างกัน 

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัดว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ชาวสมาคมฝันเฟื่องอย่างเราก็มีแนวโน้มเอนเอียงไปในทางเชื่อว่าน่าจะมีจริง เพราะทฤษฎีเรื่องโลกคู่ขนานนี้เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการประพันธ์นิยายรักหรือบทภาพยนตร์มานักต่อนัก





ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ผิดโลก 
เพราะว่าฉันไม่อยากอยู่ในโลก
ที่คุณกับฉันไม่ได้อยู่ด้วยกัน
มันจะต้องมีโลกคู่ขนานอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ที่ๆสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
ที่ๆฉันได้อยู่กับคุณ
และเป็นที่ๆคุณได้อยู่กับฉัน
ไม่ว่าโลกใบนั้นจะอยู่ที่ไหน
ที่แห่งนั้นคือที่ๆหัวใจของฉันมีชีวิตอยู่

- Comet (2014)


0 comments:

Post a Comment

 
Multiverse Blog Design by Ipietoon