7 เหตุการณ์ประทับใจในการทำงานบนฟ้ามากว่า 10 ปี, กระทู้จากพันทิป

อ่านบทความของสจ๊วตท่านนี้ที่มาเขียนไว้ในพันทิปแล้วชอบมากกก ขอเอามาแปะหน่อย ส่วนตัวก็อยากเป็นแอร์นะคะ แต่ติดที่ส่วนสูงซึ่งยังไง๊ยังไงก็ไม่ถึง ทั้งๆที่มั่นใจมากว่าสวยและภาษาดี ฮ่าาาา ;p
ขอบคุณกระทู้จากพันทิปมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
http://pantip.com/topic/34956340?utm_source=facebook&utm_medium=pantip_page&utm_content=Boom&utm_campaign=34956340


สนามบินเป็นสถานที่รวบรวมความหลากหลายทางความรู้สึกมากที่สุดสถานที่หนึ่ง
ว่ากันว่าใครที่เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่นี่ มักจะหลงใหลจนไม่อาจถอนตัวทำงานอย่างอื่นได้

ผมก็เช่นกัน เริ่มงานจากเด็กบ้านๆที่คิดมาตลอดว่าบ้านตัวเองคือที่ที่ปลูกข้าวมากที่สุดในประเทศไทย
เพียงเพราะว่าบ้านอยู่กลางทุ่งนาที่มีเนื้อที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

เสน่ห์ของมันอยู่ที่ไหน....
..อาจเป็นที่ความกดดันที่เหมือนจะระเบิดหัวตัวเองออกมาเป็นเสี่ยงๆ แต่พองานจบทุกอย่างกลับปลอดโปล่ง คงเหลือไว้แต่สารอะดีนาลีนที่หลั่งออกมายามตื่นเต้น
..อาจเป็นการที่ได้พบปะผู้คนหลากหลายเชื้อเชื้อ วัฒนธรรม และภาษา ได้เห็นคนยืนเยี่ยวในอ่างล้างหน้า เห็นฝรั่งแอบโซ้ยกันในมุมอับของสนามบิน
..หรืออาจเป็นการได้เห็นผู้คนหลั่งใหลมารอรับคนที่รักด้วยใจเต้นระริก มาส่งคนที่รักด้วยใจหดหู่ ออกด้วยเดินทางด้วยใจโหยหา หรือกลับมาพร้อมน้ำตาแห่งความผิดหวัง

ความหลากหลายทางอารมณ์ในสถานที่แห่งนี้นี่เอง ที่ทำให้ผม ติดแหง็กอยู่ที่นี่กว่า......10 ปี

ผมเริ่มต้นจากงานเล็กๆในสนามบิน และค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เหลือแค่ขับเครื่องบินอย่างเดียวที่ยังไม่ได้ทำในสถานเริงรมย์แห่งนี้

เคยออกไปทำอย่างอื่นไหม??
..เคยครับ แต่ก็ต้องวิ่งโร่กลับมาสายงานเดิม ด้วยเพราะเราถูกหล่อหลอมให้เป็นมนุษย์สายการบินไปแล้ว จึงยากที่จะรับงานที่เข้าออกตรงเวลา
วัฒนธรรมมนุษย์ออฟฟิศก็ช่างแตกต่างจากพวกเรา ผู้รู้(เรื่องคนอื่น) ผู้ตื่น(ต้องตื่นได้ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน) ผู้เบิกบาน(และต้องยิ้มให้งดงามเสมอแม้ในยามที่ผู้โดยสารกำลังยืนด่า ฟ๊ากยูว์ อย่างได้อารมณ์) อย่างสิ้นเชิง

งานสุดท้ายที่ผมจะหยุดและทบทวนตัวเองเพื่อที่จะก้าวออกไปสู่วิถีชีวิตเกษตรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ งานสจ๊วต

10 ปีสำหรับการทำงานบรรทุกความคิดถึง การรอคอย ความสิ้นหวัง ความตื่นเต้น การคาดหวัง การโหยหา การหลีกหนี การเริ่มต้นใหม่และอีกหลายๆเหตุผลที่ทำให้คนๆหนึ่งตัดสินใจ "ออกเดินทาง"
มันเป็น 10 ปีแห่งความคุ้มค่าที่ผมเอง บอกกับตัวเองเสมอว่า  "ผมตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกเดินสายนี้"

10 ปี กับ 7 เหตุการณ์ประทับใจที่ผมไม่มีวันลืมกับอาชีพ "พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน"

อันดับ 7... Welcome  to the Airport

ผมจะไม่มีวันลืมวันนั้น วันที่ตัดสินใจขัดใจแม่ด้วยการหอบเงินแค่ 5000 พร้อมกับคำสัญญาที่ว่า ถ้าสองเดือนยังไม่ได้งานผมจะต้องกลับไปทำงานที่บ้าน
ผมไม่เคยมากรุงเทพฯ ไม่เคยเฉียด ไม่เคยคิดจะมาอยู่ แต่พอหลังเรียนจบโชคชะตาก็เริ่มทำงาน จำได้ว่าหอบลังเบียร์ช้างมา 1 ใบ พร้อมเอกสารสมัครงาน
เดินหางานในกรุงเทพฯ จนรองเท้าขาด เช่าหอที่มีแต่สาวโรงงานอยู่เดือนละ 1500 ไปสมัครหมด แต่ไม่มีที่ไหนรับ เคยไปสมัครธนาคารแห่งหนึ่ง
ยังจำใบหน้าผู้รับสมัครที่โยนใบสมัครเราลงถังขยะแล้วบอกว่า ที่นี่รับแต่เด็ก....ได้ดี ทุกวันนี้เงินเดือนเข้าธนาคารแห่งนี้ ผมจะถอนออกมาหมด
แล้วเอาไปฝากอีกธนาคาร และทุกครั้งที่ธนาคารแห่งนี้โทรมาขายประกัน เสนอบัตรเครดิต ผมจะบอกเหตุผลไปตรงๆทันทีว่า "ผมไม่ถูกโฉลกกับสีน้ำเงิน"
555 อาจฟังดูงี่เง่า แต่เหตุการณ์วันนั้นมันยังฝั่งอยู่ในใจ

ผมหางานไม่ได้ เงินที่เอามาก็จะหมด พร้อมกับเวลาที่สัญญากับแม่ก็ใกล้จะมาถึง วันนั้นตัดใจแล้วว่า กลับบ้านแน่กุ แต่บ่ายเดียวกันนั่นเองก็ได้รับสายว่าให้ไปเริ่มงานที่สนามบินทันที

ผมไม่มีภาพใดๆเกี่ยวกับสนามบิน เครื่องบิน การเดินทางทางอากาศเลย วันแรกที่ประตูสนามบินเปิดออกคือวันที่ผมไม่มีวันลืม
เช้าตีห้าในเดือน มิถุนายนที่มีฝนตกโปรยปราย ประตูเหล็กขนาดยักษ์เปิดออก พร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขอดูบัตร
และทันทีที่เข้าไปภายในสนามบิน โลกของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เครื่องบินจอดเรียงราย มีรถบรรทุกเข้าออก รถขนกระเป๋า คลีนเนอร์
ทุกอย่างทำงานราวกับใครเป็นคนโปรแกรม และตอนนี้ผู้โปรแกรมก็ได้จับผมใส่ในโปรแกรมนี้เป็นอีกชิ้นส่วนในการขับเคลื่อนในสายอาชีพนี้ไปแล้ว

ผมเลิกงาน โทรบอกที่บ้าน "ผมได้งานแล้วนะครับ"

จนวันนี้ 10 ปีผ่านไป ผมยังจำเสียงนั้นของแม่ได้ดี
"ตั้งใจทำงานนะลูก แล้วมาพาแม่ไปนั่งเครื่องบินบ้างนะ"


ผมเดินทางทั่วโลก ไปแม้ในที่ที่ไม่เคยมีใครไป เห็นโลก เห็นผู้คนมามากมาย แต่ก็ไม่เคยลืมวันนั้น วันแรกที่ผมเห็น "สนามบิน"

อันดับ 6 ความตายไม่อาจพราก

วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นวันที่ผมกำลังนั่งรอเครื่องเพื่อจะทำต่อไปอีกจุดหมายหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีข่าวรายงานสดว่าเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม
ที่ภูเก็ต แล้วทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หลายวันผ่านไปผมต้องทำไฟล์ออกจากภูเก็ตไปฮ่องกง มันเป็นเที่ยวบินที่หดหู่ที่สุด หากเป็นไฟล์ภูเก็ตเมื่อก่อน ผู้โดยสารก็จะตั้งใจที่จะมาพักผ่อน
พวกเขาจะตื่นเต้น ร่าเริง รอคอยที่จะได้เห็นภูเก็ต ต่างจากเที่ยวบินนี้

ผมเดินเสริฟอาหารให้กับพวกเขาอย่างเคย แต่น้อยคนที่จะแตะอาหารในกล่องนั้น  พวกเขาเหม่อลอย และสิ้นหวัง
สัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดเปิดขึ้น ผมเดินเชคห้องโดยสารเพื่อดูความเรียบร้อยก็เจอผู้โดยสารสูงอายุชาวฮ่องกงท่านหนึ่งในที่นั่ง 26B และข้างๆกันนั้น คือ 26A เป็นที่นั่งติดริมหน้าต่าง มีโถลายครามขนาดพอมือจับวางอยู่ใบหนึ่ง
"รัดเข็มขัดหน่อยนะครับ" ผมเอือมมือไปรัดเข็มขัดให้กับโถลายครามใบนั้น
"เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง" จู่ๆคุณลุงก็พูดออกมา ผมหมดข้อกังขาทันทีว่าโถใบนั้นคืออะไร "เหงาเหมือนกันนะ ไม่มียายแก่คอยถามนู่นถามนี่"

ถ้าคุณเห็นรอยยิ้มของท่านผู้โดยสาร 26B  วันนั้น คุณจะเข้าใจเลยว่า รอยยิ้มของการต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวันข้างหน้าโดยไม่มี "ยายแก่" อย่างที่ลุงบอกนั้นมันน่าเศร้าเพียงใด

ผมไม่มีมีคำปลอบใดๆให้คุณลุง เพียงแต่นั่งลง "ทานน้ำอะไรหน่อยไหมครับ"
"ลุงอยากมาเที่ยวที่นี่ แต่ยายแก่ไม่อยากมา เขากลัวเครื่องบิน"

ผมจำได้ว่าลุงบอกว่ากลัวเครื่องบิน

"ลุงพาเขามาตาย" แล้วลุงก็ร้องไห้ใส่ฝ่ามือตัวเองจนตัวสั่น
ผมเอง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการวางมือลงบนบ่าและลูบเบาๆ

ทุกวันนี้ผมยังระลึกถึงเหตุการณ์นี้อยู่เสมอ

การต้องอยู่โดยไม่มียายแก่ และต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ว่าต้องพายายแก่มาตาย คงลำบากมากสินะครับลุง.....
แต่ผมเชื่อว่า ยายแก่ของลุงคงไม่คิดโทษลุงด้วยเหตุผลนี้เป็นแน่

อันดับที่ 5 จะขอพาแผ่นดินเกิดไปทุกหนแห่ง
ผมไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่า การเกิดมาในแผ่นดินที่สงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่ต้องฆ่าฟันกันเอง มันวิเศษขนาดไหน
จนกระทั่งวันนั้น

เที่ยวบินพิเศษถูกจัดขึ้นโดยมีเส้นทางบินจากจอร์แดนไปออสเตรเลีย เพื่อขนส่งผู้อพยพไปยังประเทศที่ ผู้อพยพชาวอิรักเหล่านั้นต้องเดินทางมาจากอิรักมายังจอร์แดนเพื่อนโดยสารต่อ เพราะเราไม่สามารถบินเข้าประเทศอิรักได้
ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน คิดเพียงแค่ว่า ก็ดีแล้ว จะได้ไปอยู่ประเทศที่ดีๆ ประเทศที่รบกันฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แถมยังแร้นแค้นลำบาก
ใครจะอยากไปอยู่


แต่ผมคิดผิดถนัดครับ เมื่อถึงเวลาบอร์ดผู้โดยสาร ประตูรถเปิดออก ผู้อพยพมองขึ้นมาบนเครื่องบิน และทันใดนั้นพวกเขาก็ร้องไห้ ทรุดตัวลงกับพื้น
ผมตกใจกับภาพที่เห็นมาก บางคนใช้มือทั้งสองข้างโกยดินขึ้นมาลูบหน้า บางคนก็ร้องไห้จะกลับประเทศตัวเอง

แต่สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็ถูกนำตัวขึ้นเครื่องบิน

ไม่มีผู้โดยสารคนใดบนเครื่องบินแม้แต่คนเดียวที่มีรอยยิ้ม ยังมีแต่เด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เท่านั้นที่ยังพอจะตื่นเต้นกับเครื่องบิน
ทันทีที่ล้อของเครื่องบินละจากพื้นดิน ผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งก็ร้องไห้โฮ ออกมา พร้อมกับแกะห่อผ้าสีดำซึ่งภายในบรรจุ "ดิน" ไว้
หล่อนเอามันมาจูบครั้งแล้วครั้งเล่า

มันเป็นภาพที่สะเทือนใจผมมาก และทำให้เข้าใจในวันนั้นนั่นเองว่า เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในประเทศไทย
และเมื่อเกิดเหตุการ์ความไม่สงบในประเทศไทยครั้งใด ผมก็หวังในใจว่าอยากจะดึงเอาภาพเหตุการณ์ในความทรงจำของผมในวันนั้นมาฉายเป็นภาพให้ทุกคนได้เห็น  เพื่อจะได้ตระหนักว่า การที่ต้องตกอยู่ในสภาพผู้ลี้ภัยที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน จากครอบครัว มันเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้ เวลาดูข่าวสงครามครั้งใด ภาพของหญิงแก่คนนั้นก็จะชัดเจนในความรู้สึกอยู่เสมอ

อันดับที่ 4 ยัยเด็กโจเซฟีน

ไฟล์ออสโล- กรุงเทพฯ เป็นอีกไฟล์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความป่วง ทั้งอลม่านเพราะคนเมา ทั้งวุ่นวายเพราะไฟล์ยาว
ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานในครัวหลัง
พอสัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดดับลง มหกรรมการแข่งขันกันกด call bell ก็เริ่มขึ้น
"ตึ๊ง"
"ตึ๊ง"
"ตึ๊ง"
"ตึ้งๆๆๆๆๆ"
มองไปในห้องโดยสารสว่างไสว ราวกับกำลังเดินอยู่บนท้องฟ้าที่มีดวงดาวสีน้ำเงินพร่างพราวเต็มไปหมด (เสียงนาฬิกาปลุกของผมจะเป็นเสียงนี้
แค่ดังตึ๊งเดียว จะหลับลึกสุดก้นมหาสมุทรแปซิฟิกแค่ไหน มันก็จะจิกหัวกระชากคุณขึ้นมาจากภวังค์ได้เพียงแค่ "ตึ๊ง" เดียว)

ผมเตรียมจัดอาหารและเครื่องดื่ม ก็จะมีผู้โดยสารคนนู้นคนนี้มาของวอดก้า เบียร์ ไวน์ วอดก้า เบียร์ ไวน์ วอดก้าาเบียร์ไวน์ ทุกๆหนึ่งนาที
จนผมเอี้ยวกันคอเคล็ด

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ การปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงผมสีทองตาสีฟ้าผู้ลึกลับคนหนึ่ง นามว่า "ยัยเด็กโจเซฟิน" อายุน่าจะประมาณ 6-7 ขวบ
รอบๆตัวนางมีมีรังสีประหลาด โจเซฟินจะมายืนเอามือไพล่หลัง และมองพวกเราอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับกำลังจะคอยจับผิดการทำงานของเรา

" Madam Do you need any help?" ผมเรียกเจ้าหล่อนว่ามาดาม เพราะท่วงท่าที่ดูน่ากริ่งเกรงนั้นเอง
แต่พอถามหล่อนก็ไม่ตอบ สะบัดตูดเดินหายไป

สักพักมาอีกแล้ว พวกเราวุ่นวายจัดของ ก็เดินแทรกๆเข้ามาเหมือนหนูนาหารูลง แล้วก็หยุดมอง พอถามก็ไม่ตอบและเดินหนี

สักพักก็กลับมาอีกคราวนี้ปีนหลังเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งที่นั่งจัดคาร์ดอาหารอยู่ จนทำให้เพื่อนไม่พอใจ แล้วไปหยุดหน้าห้องน้ำ ก่อนจะยืนดูบางอย่าง และปีนกลับไปอีกรอบ

และในขณะที่พวกเรากำลังเสริฟอาหาร ซึ่งไม่สะดวกที่จะให้ผู้โดยสารเดินไปมา หล่อนก็ไม่วายจะแทรกเข้ามา พอบอกว่าไม่ได้ๆ ก็ไม่ฟัง
ตอนนั้นพวกเราเริ่มไม่พอใจแล้ว ว่าทำไมพ่อแม่ไม่มาดู แล้วอิเด็กโจเซฟีนนี่ ต้องการอะไรกันแน่

และหลังจากนั้นทั้งไฟล์ เจ้าหล่อนก็เดินไม่หยุด   11 ชั่วโมงจะยาวนานแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้หล่อนหยุดเดินได้

พวกเรานั่งอยู่ นางจะข้ามก็ข้าม
พวกเรากินข้าว นางเดินดุ่มกระชากม่าน มองเราหัวจรดเท้า พอเราถามก็สะบัดตูดหนี
พวกเรา รอทำห้องน้ำ หล่อนจะเดินผ่านก็ผลักเราจนเซถลา
หล่อนเข้าไปในห้องน้ำกดปุ่มขอความช่วยเหลือ ก็วิ่งกันวุ่นไปอีก

เรียกได้ว่าป่วนทั้งไฟล์

ป่วนเราไม่พอป่วนผู้โดยสารคนอื่น ไปปีนเก้าอี้ ปีนเบาะเค้าไปทั่ว
จนสุดท้ายที่ทำให้ผมทนไม่ไหวคือออกจากห้องน้ำ ปัง เจออิเด็กโจเซฟีนกำลังจับที่เปิดประตูและทำท่าคล้ายจะเปิดประตู
ผมรีบคว้ามือ และดุเจ้าหล่อนก่อนจะลากมือมาตามหาแม่

จนในที่สุดก็พบแม่เจ้าหล่อนนั่งอุ้มเด็กผู้หญิงอีกคน

"ขอโทษนะครับ รบกวนช่วยดูลูกคุณหน่อย เขาพยายามจะเปิดประตู" ผมพูดเสียงแข็ง
ผู้เป็นแม่ตกใจ พลางรีบขอโทษขอโพย และหันไปดุลูก

"ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีเราเดินทางกันสามคนแม่ลูก และดิฉันต้องคอยดูแลน้องของโจเซฟีน" ผมมองไปที่เด็กผู้หญิงอีกคน พร้อมกับสงสัย
"โซเฟียน่าขี้สงสัยมากค่ะ เธอชอบให้พี่สาวเธอไปดูนู่นดูนี่ให้เธอ" ผมนั่งยองๆคุยกับผู้เป็นแม่
"โซเฟียน่าเดินไม่ได้ค่ะ" ผู้เป็นแม่เปิดผ้าห่มของลูกสาวคนเล็กออกเผยให้เห็นสภาพของน้องที่มีแค่ "ครึ่งท่อน"

ผมนั่งฟังผู้เป็นแม่อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะลูบหัวโจเซฟีนแล้วเดินกลับมาครัวหลังพร้อมรอยยิ้ม

"โจเซฟีน พวกเขามีผมสีอะไรกันนะ"
"โจเซฟีน ห้องน้ำที่พี่บอกว่าประหลาด มันเป็นยังไงเหรอ"
"แล้วรถเข็นมีกี่ล้อ"
"แล้วพวกเขากินขนมปังรรึเปล่า"
"ไฟสีฟ้าๆบนนี้กดได้ไหม"
"ในครัวมีตัวกินขยะด้วยเหรอ"
"แล้ว บลาๆๆๆๆ"

สรุปโจเซฟีนมีน้องสาวที่ช่างสงสัย หล่อนสงสัยไปทุกเรื่อง และทุกเรื่องก็มักจะถามโจเซฟีน และทุกครั้งที่ถาม เจ้าหล่อนก็จะต้องวิ่งมาหาคำตอบให้น้องสาวเพราะน้องสาวไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ เป็นแบบนี้เกือบ 11 ชั่วโมง

11  ชั่วโมงที่พี่สาวตัวน้อยคนนี้ทำเพื่อน้องสาว สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มาก ผู้โดยสารคนอื่นหรือแม้แต่ลูกเรือยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
แต่ไม่ใช่สำหรับโจเซฟีน เจ้าหล่อนไม่เคยชักสีหน้าไม่พอใจ หรือแสดงอาการเหนื่อยหน่าย มีแต่ความกระตือรือร้นหาคำตอบให้น้องสาวที่รอคอยอยู่บนตักแม่เท่านั้น ที่ทำให้หล่อนวิ่งวุ่นทั้งไฟล์

ครั้งสุดท้ายที่โจเซฟีนมาหาพวกเราที่ครัวหลังคือครั้งที่แม่ของหล่อนเขียนขอโทษและขอบคุณพวกเราที่ดูแลเป็นอย่างดี
ผมคว้าตัวโจเซฟีนมา ก่อนจะยิ้มให้หล่อน พร้อมกับขอโทษที่รำคาญเจ้าหล่อนในตอนแรก

สีหน้าโจเซฟีนงงๆ แต่ก็ยิ้ม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายลาพวกเราไปอย่างอารมณ์ดี.......
.
.
ลาก่อนแม่หนูโจเซฟีน

อันดับที่ 3 ทำไมแม่ไม่รักหนู

ในวันที่รู้ว่าต้องทำไฟล์จากกรุงเทพไปยังเมืองหลวงแห่งหนึ่งในประเทศแถบแอฟริกา ผมถึงกับเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย
มันจะมีอะไรดีไปกว่าการต้องทำไฟล์ที่มีผู้โดยสารจีน ผู้โดยสารเวียดนาม และผู้โดยสารแอฟริกัน อยู่ร่วมกันในไฟล์นั้น
แค่คิดผมก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้ว

หารู้ไม่ว่าวันนั้นจะทำให้ผมถึงกับน้ำตาตกใน
เราบอร์ดผู้โดยสารขึ้นเครื่องตามปกติ แต่ผมกลับเห็นเด็กผู้หญิงผิวสีผมหยิกขดเกรอะกรัง โดยมีผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นชาวแอฟริกาเป็นคนอุ้มแล้วผมจำได้
.
.
จำได้ว่าผมเจอพวกเขาที่สนามบินตอนเช็คอิน โดยมีหญิงชาวไทยมาส่ง แต่พวกเขาทะเลาะกัน หญิงคนไทยโยนลูกให้ชายผู้นั้นอุ้มก่อนจะตะคอกใส่ว่า

"เอากลับไปด้วยเลย กุไม่เอา" ภาพนั้นผมจำได้

ชายผู้นั้นนั่งประจำที่ และหลับโดยไม่สนใจผู้เป็นลูกอีกเลย

พอเราเสริฟอาหารเสร็จ ผมจัดแจงปิดไฟ หันไปอีกทีเกือบช๊อค เจอเด็กผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างหลัง
"ปวดฉี่" อ่าวชิหา....ย พูดไทยชัด
ก็ตามนั้น ผมก็ต้องอุ้มนังหนูนั่นไปฉี่ ฉี่เสร็จจะเอากลับมานั่งที่ เจ้าหล่อนไม่ยอม
"กลัว" น้องก็เลยเดินตามมานั่งกับเราในครัว

เราถามชื่อ ถามอายุ สรุปได้ว่า ชื่ออิดำ (แม่คงรักมากถึงตั้งชื่อแบบนี้) ชื่ออิดำจริงๆ ผมไม่รู้ว่ามาจากภาษาแอฟริกาอะไรหรือเปล่า แต่จะให้เรียก
น้องอิดำๆ ก็สงสาร เลยเรียกดำเฉยๆ
ดำอายุ 3-4 ขวบนิดๆ เกิดที่ไทยแถวบางกะปิ พูดไทยชัด เป็นเด็กไทยเลยล่ะ แล้วพูดภาษาพ่อไม่ได้เลย
น้องเล่าให้ฟังว่า แม่ให้มาอยู่กับพ่อ แม่ไม่ให้อยู่ด้วยแล้ว

ทุกครั้งที่ดำเล่า มันเป็นคำพูดซื่อๆง่ายๆ แต่สะเทือนใจยิ่งนัก
ดำจะเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น คือจะคอยกอดแข้งกอดขาลูกเรือทุกคน จะให้กอด ให้อุ้ม จู่ๆก็บอกหอมดำหน่อย
(นี่ก็อะไร โอ ขี้มูกเกรอะ เกรื้อนด้วย ก็ต้องเอาจมูกแตะๆน้อง สงสารน้อง) รักดำมั้ย ถามแบบนี้ตลอดเวลา

พอจะไปทำห้องน้ำดำก็งอแง นี่ก็ต้องอุ้มไปทำด้วย เพราะพ่อกินยานอนหลับหลับตายไปแล้ว
แล้วน่าแปลกที่ดำจะให้คนเอเชียอุ้มทุกคน แต่จะร้องไห้จ้าเวลาเจอคนผิวสี.......แบบเดียวกับดำ

ดำบอกดำกลัว แค่เดินผ่าน หรือมองดำ ดำก็ร้องไห้แล้ว ผมคิดในใจ ดำเอ้ย คือดำอ่ะเหมือนพวกเขานะลูก ดำไม่ต้องกลัว
แอบสงสารว่าจะไปอยู่ได้อย่างไรในเมื่อกลัวคนดำด้วยกันขนาดนั้น
ผู้โดยสารคนอื่นจะเอ็นดูดำ เพราะดำจะชอบถามไปทั่วว่ารักดำมั้ยๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจคือดำบอกว่า
แม่ไม่รักดำ แม่บอกว่าแม่ไม่รักดำ
แล้วน้องก็เงียบไปเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่พูด

"ทำไมแม่ก็ไม่รักดำ" ผมมองหน้ากับเพื่อนแอร์ ความรู้สึกจุกในลำคอบอกไม่ถูก ผมเล่าเหตุการณ์ที่สนามบินให้เพื่อนร่วมงานฟัง
ว่ามันเป็นมาอย่างไร ทุกคนต่างสงสารดำ และบอกกันว่าจะทำให้ไฟล์นี้ของดำมีความสุขที่สุด

เราจึงผลัดกันบอกรักดำทุกครั้งที่ดำเงียบ
"รักดำอ่ะ"
"รักดำจังเลย"
"โอ้ยดำน่ารัก"
คือใครผ่านไปผ่านมา เปิดม่านก็จะบอกรักดำ

ตลอดเวลา 10 ชั่วโมงดำไม่นอน ขลุกตัวอยู่กับพวกเราในครัว ผมไม่รู้ว่าหลังจากก้าวเท้าออกจากเครื่องไปแล้วดำจะเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยสิ่งเดียวที่พวกเราทำให้ดำได้คือ ให้ดำมีความสุขที่สุดในวันนี้

กัปตันแจ้งลดระดับเพื่อทำการลงจอด ผมอุ้มดำไปนั่งที่ ดำงอแง ไม่ยอม ผมจึงตัดสินใจปลุกผู้เป็นพ่อ ที่ลืมตาขึ้นมามองลูกตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะจับคาดเข็มขัดและบอกอย่าร้อง

แค่นั้นเองดำเงียบกริบ ผมรู้เลยว่าคงกลัวพ่อมาก

ประตูเครื่องเปิดออกผู้โดยสารทะยอยลงจากเครื่อง พ่อเก็บของและอุ้มดำ ทันทีที่อุ้มดำก็กรีดร้องขึ้นมาเหมือนรู้ตัวว่าต้องไปแล้ว
เสียงร้องดำมันบาดลึกมาก
ไม่ใช่เสียงร้องของเด็กงอแง
ไม่ใช่เสียงร้องของเด็กอยากได้ของ เรียกร้องความสนใจ หรือ หิวโหย

แต่เป็นเสียงร้องที่ขาดหายเป็นห้วงๆ ดำคงกลัว และคงคิดถึงแม่
"กลับบ้าน กลับบ้าน หาแม่ หาแม่"

ผมยืนอยู่ประตูสอง บอกลาผู้โดยสาร พร้อมกับยิ้มให้ดำอย่างร้าวๆ ดำคว้ามือผมหมับไม่ยอมปล่อย พร้อมกับบอกว่าจะกลับบ้านๆ
คุณเอ๋ย เหมือนในหนัง พ่อยื้อเด็ก เด็กยื้อผม มันเป็นภาพที่สะเทือนใจผมที่สุด แววตาดำ ที่มองผม มันเหมือนขอให้ช่วย แต่เราทำอะไรไม่ได้
ผมดึงมือกลับ พร้อมกับบอกลาดำด้วยคำพิเศษกว่าผู้โดยสารท่านอื่น

"รักดำนะ"
.
.
.
.
แล้วดำก็หายไปแต่เสียงร้องไห้ของดำ..............ยังก้องอยู่

อันดับที่ 2 ลูกแม่อยู่ไหน

บ่ายวันที่ 16 กันยายน 2007
จำได้ว่าฝนตกปรอยๆ ผมเดินซื้อของอยู่ในห้าง ทันใดนั้นก็มีข่าวสดเข้ามาว่าสายการบินที่ทำอยู่ไถลออกนอกรันเวย์
ตอนนั้นคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นอะไรมาก แต่เพื่อนโทรมาบอกถึงความเสียหาย
ตัวชา ไปหมด เดินกลับบ้านเกือบ 10 กิโลเมตร ตากฝน ไม่รู้ตัว
กลับมาถึงรับสายแค่คนเดียวจาก 100 สายที่โทรเข้ามาคือแม่ หลังนั้นก็ไม่รับของใครอีก

ผมช๊อคเพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดใกล้ตัวขนาดนี้ ตอนนั้นเปิดทีวีดูข่าว
และภาพข่าวที่ทำให้ถึงกับน้ำตาไหล คือภาพที่แม่เดินตามหาลูกในสนามบิน
"ลูกอยู่ไหน มีใครเห็นลูกแม่มั้ย" มันบอกไม่ถูก มันเศร้า ยิ่งรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นคือเพื่อนร่วมงาน ร่วมอาชีพ ยิ่งทำให้เศร้าไปอีก

ความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา จากทุกสารทิศ ทั้งพี่น้องร่วมอาชีพ ถึงจะเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทุกคนทุกสายการบิน
ต่างร่วมใจกันช่วยเหลือเต็มที่

ผมทำงานหลังจากเหตุการณ์สูญเสียนั้นไม่กี่วัน

จำได้ว่าวันนั้นต้องทำไปจังหวัดหนึ่งทางใต้ จากเดิมที่มีผู้โดยสารเต็มลำ แต่พอเกิดเรื่องผู้โดยสารเหลือแค่ไม่กี่สิบคน
บางคนก็ให้กำลังใจ
ถามไถ่ด้วยความหวังดี

แต่บางคนก็ใจร้ายมากถึงขนาดพูดว่า
"วันนี้จะตายอีกมั้ย"
"ตกอีกมั้ยวันนี้"
"วันนี้ตายกี่คนดี"
"นี่ก็มายืนยิ้มอยู่ได้"

จนน้องที่ยืนต้อนรับผู้โดยสารกับผมด้วยกัน ถึงขนาดทนไม่ไหว ต้องไปร้องไห้ในห้องน้ำ
วันนั้นผมโกรธ ยอมรับเลยว่าโกรธมาก แต่ก็อะไรไม่ได้นอกจากกล่าวสวัสดี และยิ้ม

เหตุการณ์วันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจ การสูญเสียไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจ แต่ผมจะไม่มีวันลืมว่า ครั้งหนึ่งเราได้สูญเสียเพื่อนร่วมงาน พี่น้องที่เรารู้จัก ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นน้ำใจจากเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกัน ครั้งหนึ่งพวกเราเคยร่วมฟันฝ่าอุปสรรค และผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นด้วยกันมา
และที่สำคัญผมจะไม่ลืมว่า เหตุการณ์วันนั้น สอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ


อันดับที่ 1 น้องดาวน์ของผม

ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับอะไร จะหนังซึ้ง หนังเศร้า ความรักใครดราม่า หรือหวานซึ้ง ไม่มี
ไม่เคยอิน

แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ทำให้ผู้ชายอย่างผมร้องไห้ได้คือ เด็กพิการซ้ำซ้อน เด็กดาวน์ เด็กออทิสติก
เรื่องราวอันดับ 1 นี้อาจไม่ค่อยประทับใจอะไรมากมายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนที่มีน้องชายที่เป็นแบบนี้อย่างผม ผมต้องยกให้เรื่องนี้เป็นที่ 1


วันนั้นผมมีผู้โดยสารเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง เป็นผู้โดยสารคนไทย แต่ต้องไปหาแม่ที่อยู่เมืองจีน น้องไปกับพี่เลี้ยงผู้ชายที่ไม่ค่อยจะใส่ใจน้องเท่าไหร่

น้องเป็นผู้ป่วยพิการซ้ำซ้อนที่ไม่รับรู้ ดูแลตัวเองไม่ได้นั่งๆน้ำลายไหลตลอด ผมต้องคอยซับให้
ทันทีที่ผมเห็น ผมก็คิดถึงน้องของตัวเองทันที ถึงจะไม่เป็นขนาดนี้ แต่ก็ทำให้สะเทือนใจไม่น้อย

แม่ผมจะปิดอู่อยู่แล้ว แต่ผมดันขอน้องเป็นของขวัญวันเกิด พอน้องเกิดมาไม่สมบูรณ์ มันจึงเป็นเหมือนว่าผมโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ผมรักน้องมาก มากถึงขนาดว่าคืนหนึ่งแม่ไปขายของที่งานวัด พาน้องพาเราไปด้วย และน้องโดนแกล้งให้เลียรองเท้า โดนเรียกว่าไอ่ปัญญาอ่อน
ผมปกติไม่สู้คนนะ 555 แต่ถ้าใครมาทำน้องกุ เมริงตาย!! สรุปคืนนั้นให้น้องขี่หลังกลับบ้านก่อนแม่พร้อมแผลปูดเต็มหน้า
อาบน้ำแต่งตัวเอาน้องเข้านอน ก่อนนอนก็อธิษฐานขอสลับร่างกับน้อง ร้องไห้เลย เพราะสงสารน้อง พูดวนๆอยู่แบบนั้นจนหลับไป ตลกดี
ตอนนั้นอยู่ป.4 น้องเพิ่งจะสองขวบ

เวลาพักเที่ยงผมจะวิ่งจากโรงเรียนมาหาน้องซื้อขนมใส่ถุงมาเอามาให้น้อง ส่วนตัวเองกินข้าวที่บ้าน มาเล่นกับน้องสักครู่ก็วิ่งกลับ
เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนครูนึกว่าเป็นวัลลี ตามสะกดรอยคิดว่าที่บ้านยากจน 555
ทำจนจบประถม มัธยมก็ทำ ยันมหาวิทยาลัย จนตอนนี้มาทำงานเวลาโทรหาแม่ก็จะถามหาน้องก่อน และก็ค่อยคุยกับแม่

พอเราเห็นผู้โดยสารเราเป็นคล้ายน้อง ผมรีบปรี่เข้าไปหา ทักทาย ไปเล่น คือเรารู้ว่าต้องเล่นกับเขายังไงเพราะเราเลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็ก
ผู้โดยสารของผมตาไม่โฟกัสแล้ว แต่เราก็คิดว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง

ผมทำงานเสร็จก็ใช้เวลาเล่นกับน้อง ถามไถ่อาการพี่เลี้ยงที่ดูว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ คงแค่พาน้องมาส่งแม่เฉยๆ
ผมจับมือน้องบีบนวด คลึงๆ มือน้องจะกำตลอดก็ต้องคอยคลายมือเค้า เพราะการเดินทางทำให้เค้าเคลียด

นี่นั่งชวนคุยเรื่องหมูหมากาไก่ น้องไม่รู้เรื่องหรอก บางทีก็หัวเราะออกมา ผมก็ดีใจแล้ว ทั้งๆที่เค้าแค่แสดงอาการบางอย่างเฉยๆ
บนไฟล์ก็ต้องคอยป้อนข้าวให้ เพราะพี่เลี้ยงเค้าดูยังไงก็ดูแลเด็กไม่เป็น ต้องคอยทำให้ดูว่าทำอย่างไร


ตอนน้องผม ผมมักถามตัวเองว่าทำไมน้องต้องเป็นแบบนี้ พอโตขึ้นเราก็เริ่มหาข้อมูล เริ่มไปลงพื้นที่  555 โชคดีที่บ้านมีแม่ มีพ่อ มีน้องชายอีกคนที่ก็รักน้องคนเล้กมากไม่แพ้ผม น้องผมจึงค่อนข้างได้ความรักเต็มที่

วันนั้นพอเครื่องลง พี่เลี้ยงจับน้องอุ้ม ซึ่งก็ผิดท่าผิดทาง แขนน้องฟาดกับเก้าอี้จนผมต้องดุให้เขาอุ้มน้องดีๆ

ผมมาส่งถึงประตูเครื่อง พอจะออกจากเครื่องน้องคว้ามือผม (อีกแล้ว) แล้วก็ทำเสียงอ้อแอ้ ที่สำคัญเขาสบตาผมด้วย คือทั้งไฟล์น้องจะไม่มองหน้าผมเลย ซึ่งก็เป็นปกติ แต่การสบตาของน้องวันนั้นมันมีความหมายกับผมมาก มันเหมือนเขารับรู้ เขามองเรา เขาเข้าใจเรา และอยู่ในโลกใบเดียวกับเรา น้องทำเสียงอ้อแอ้ด้วย ก็เลยคิดเอาเองว่าน้องเขาคงขอบคุณ แค่นั้นแหละครับ ลูกผู้ชายแมนๆอย่างผมวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยโฮเลยครับ ฮ่าๆ ร้องไห้กับเรื่องโคตรง่ายๆเลย

คิดถึงน้องตัวเอง สงสารน้องผู้โดยคนนั้นด้วย

แม่เคยว่าผมใจหิน หมาแมวตาย ตาเสีย ยายเสีย ปู่เสีย ญาติเสีย ใครเสีย ไม่เคยร้องไห้สักแอ่ะ ตั้งแต่เด็ก เค้าจะซึ้งจะเศร้ากันนี่เฉย

เสียใจนะครับ แต่มันร้องไห้ไม่เป็น

แต่พอนึกถึงน้อง นึกถึงคนป่วยแบบนี้ทีไรแล้ว ใจคอมันไม่ดีทุกที

วันนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพตาแดง จนต้องถูกไล่ไปอยู่ด้านหลัง พอถึงกรุงเทพ ก็รีบโทรหาแม่ และคุยกับน้องทันที

.
.
.

จริงๆ 10 ปี ในสายงานนี้ มีอะไรอีกมากมายที่ให้เล่าทั้งปีก็ไม่หมด ผมโชคดีที่ได้อยู่หลายสายการบิน ได้เห็นโลกหลายใบ
แต่ตอนนี้มันชักจะอิ่มตัว อยากอยู่กับที่บ้าง

คราวหน้าถ้าเดินทางอีกครั้ง ลองหาโอกาศคุยกับพวกแอร์สจ๊วตสิครับ ถ้าพวกเราว่าง พวกผมมีเรื่องเล่าสนุกๆให้ฟังเยอะเลย รับรองคุณจะไม่เบื่อกับการเดินทางเลยทีเดียว

0 comments:

Post a Comment

 
Multiverse Blog Design by Ipietoon